คำถาม
ศาสนาบาไฮคืออะไร
คำตอบ
ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาใหม่ของโลกซึ่งกำเนิดมาตั้งแต่แรกจากนิกายชีอะห์ของศาสนาอิสลามในเปอร์เซีย (อิหร่านในปัจจุบัน) อย่างไรก็ตามศาสนานี้ก็มาถึงความสำเร็จด้วยสถานะแบบเฉพาะตัวของมันเอง ศาสนาบาไฮมีการแบ่งแยกตัวเองออกมาเป็นศาสนาของโลกที่มีลักษณะเฉพาะเนื่องจากขนาดของตัวมันเอง (สมาชิก 5 ล้านคน) อัตราส่วนในระดับโลกของมัน (236 ประเทศ) ความเป็นอิสระในทางปฏิบัติจากศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาพ่อแม่ของมัน และหลักคำสอนที่มีลักษณะเฉพาะของมัน (โดยเชื่อในเรื่องของการมีพระเจ้าองค์เดียวแต่กระนั้นก็ครอบคลุมถึงพระอื่นๆ ด้วย)
ผู้บุกเบิกศาสนาบาไฮในยุคแรกคือซิยยิด อะลี มุฮัมมัด (Sayid Ali Muhammad) ผู้ซึ่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1844 ประกาศตัวเองว่าเป็นบาบ (Bab) (“ประตูแห่งความเชื่อ”) การสำแดงพระองค์เองครั้งที่แปดของพระเจ้าและเป็นครั้งแรกตั้งแต่สมัยของมุฮัมมัด โดยปริยายคำแถลงการดังกล่าวนี้เป็นการปฏิเสธมุฮัมมัดว่าเป็นผู้พยากรณ์คนสุดท้ายซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุด รวมถึงปฏิเสธอำนาจที่มีลักษณะเฉพาะของโกหร่าน (‘คัมภีร์ของอัลกุรอาน’ เพิ่มเติมโดยผู้แปล) ศาสนาอิสลามไม่ได้เห็นพ้องกับความคิดเหล่านั้น บาบและผู้ติดตามของเขาซึ่งเรียกตัวพวกเขาเองว่าบาบิส (Babis) ได้พบกับการข่มเหงอย่างหนักและเป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าฟันกันที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่บาบจะถูกประหารชีวิตในฐานะนักโทษทางการเมืองเพียงแค่หกปีต่อมาในเมืองแทบรีซของจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันออกประเทศอิหร่านในวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ.1850 แต่ก่อนที่เขาจะตาย บาบได้กล่าวเกี่ยวกับผู้พยากรณ์ที่กำลังจะมา เป็นผู้ที่จะกล่าวถึงว่าเป็น “ผู้ที่พระเจ้าจะทรงสำแดง” ในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.1863 มีร์ซา ฮุสเซน อาลี (Mirza Husayn Ali) หนึ่งในผู้ติดตามของเขาประกาศตัวเองว่าเป็นความสำเร็จของคำพยากรณ์นั้นและเป็นการสำแดงพระองค์เองล่าสุดของพระเจ้า เขาได้สวมตำแหน่งบาฮาอุลลาห์ (“พระสิริของพระเจ้า”) บาบนั้นมีการมองว่าเป็น “ยอห์นผู้ให้รับบัพติสมา” ซึ่งเป็นประเภทของผู้บุกเบิกที่นำขึ้นไปสู่บาฮาอุลลาห์ผู้ซึ่งเป็นการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าที่สำคัญกว่าสำหรับยุคนี้ ผู้ติดตามของเขานั้นได้การเรียกว่าบาฮาอิส (Baha’is) ลักษณะเฉพาะของศาสนาบาไฮที่แตกดอกออกผลนั้น ตามความเข้าใจแล้วกลายเป็นสิ่งที่ชัดเจนในการประกาศต่างๆ ของบาฮาอุลลาห์ เขาไม่เพียงแต่อ้างว่าเป็นผู้พยากรณ์คนสุดท้ายที่รู้ล่วงหน้าในนิกายชีอะห์ของศาสนาอิสลามและเขาไม่เพียงแต่อ้างว่าเป็นการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าแต่เขายังอ้างว่าเป็นการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ได้ทรงสัญญาไว้ เป็นวันแห่งพระยาห์เวห์ เป็นพระศรีอริยเมตไตรย (จากศาสนาพุทธ) และเป็นพระกฤษณะ (จากศาสนาฮินดู) ประเภทของความครอบคลุมนั้นชัดเจนตั้งแต่ยุคแรกๆ ของศาสนาบาไฮ
ไม่มีการกล่าวถึงการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าหลังจากบาฮาอุลลาห์ แต่การเป็นผู้นำของเขานั้นได้มีการส่งต่อผ่านทางการแต่งตั้ง เขาแต่งตั้งผู้รับช่วงต่อโดยเป็นลูกชายของเขาคืออับบาส เอฟเฟนดิ (Abbas Effendi) (ซึ่งหลังจากนั้นเป็นอับดุลบาฮา (Abdu'l-Baha) “ทาสของบาฮา”) ในขณะที่ผู้รับช่วงต่อไม่สามารถที่จะกล่าวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ซึ่งได้รับการดลใจจากพระเจ้า แต่พวกเขาสามารถตีความพระคัมภีร์ได้อย่างไม่ผิดพลาดและมีการมองว่าเป็นการรักษาพระคำที่แท้จริงของพระเจ้าในโลก อับดุลบาฮาจะแต่งตั้งหลานของเขาโชกี เอฟเฟนดิ (Shoghi Effendi) เป็นผู้รับช่วงต่อ อย่างไรก็ตามโชกี เอฟเฟนดิได้เสียชีวิตก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รับช่วงต่อ ช่องว่างนั้นจึงถูกเติมให้เต็มด้วยสถาบันการปกครองที่ได้รับการจัดการอย่างชาญฉลาดซึ่งมีชื่อว่าสภายุติธรรมสากลซึ่งยังคงมีอำนาจอยู่ทุกวันนี้ในฐานะคณะกรรมการการปกครองของศาสนาบาไฮในระดับโลก ทุกวันนี้ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาของโลกโดยที่มีการสัมมนาชุมนุมกันในระดับนานาชาติประจำปีที่สภายุติธรรมสากลในไฮฟาประเทศอิสราเอล
หลักคำสอนที่เป็นส่วนสำคัญของศาสนาบาไฮซึ่งได้รับการดึงดูดเนื่องจากความเรียบง่ายคือ
1) นับถือพระเจ้าองค์เดียวและการปรองดองของศาสนาหลักทั้งหมด
2) ยอมรับความหลากหลายและจริยธรรมของความเป็นครอบครัวของมนุษย์และการขจัดอคติทั้งหมดออกไป
3) สร้างสันติสุขของโลก ความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย รวมถึงการศึกษาในระดับสากล
4) การร่วมมือกันระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาในการค้นหาความจริงของคนคนหนึ่ง โดยสิ่งเหล่านี้อาจจะถูกรวมไว้ในความเชื่อและในการปฏิบัติโดยนัยคือ
5) ภาษาที่ช่วยในการสื่อสารในระดับสากล
6) หน่วยการวัดที่เป็นแบบสากล
7) พระเจ้าผู้ซึ่งพระองค์เองไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้แต่ทว่าเปิดเผยพระองค์เองผ่านการสำแดงพระองค์เอง
8) การสำแดงพระองค์เองเหล่านี้เป็นประเภทของการเปิดเผยความจริงของพระเจ้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นวงจร
9) ไม่มีการชักชวนให้เปลี่ยนศาสนา (คำพยานที่รุนแรง)
10) การศึกษาคัมภีร์ต่างๆ นอกจากคัมภีร์ของบาไฮ
11) การอธิษฐานและการนมัสการเป็นหน้าที่และสิ่งเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นไปตามคำแนะนำที่เฉพาะเจาะจง
ศาสนาบาไฮนั้นค่อนข้างซับซ้อนและผู้ติดตามหลายคนของศาสนาบาไฮทุกวันนี้ได้รับการศึกษา มีวาทศิลป์ มีเสรีภาพทางการเมือง แต่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม (ยกตัวอย่างเช่น ต่อต้านการทำแท้ง การเห็นด้วยกับการมีครอบครัวตามประเพณี ฯลฯ) มากไปกว่านั้นบาฮาอิสไม่ได้รับการคาดหวังให้เข้าใจเพียงแค่คัมภีร์บาไฮที่มีลักษณะเฉพาะของพวกเขาเอง แต่มีการคาดหวังให้ศึกษาคัมภีร์ของศาสนาระดับโลกอื่นๆ ดังนั้นค่อนข้างเป็นไปได้ที่จะพบเจอกับคนที่นับถือศาสนาบาไฮซึ่งมีความรู้ทางด้านศาสนาคริสต์มากกว่าคริสเตียนทั่วๆ ไป นอกจากนี้ศาสนาบาไฮให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการศึกษาที่รวมเข้ากับความเสมอภาคด้านคุณค่าเช่นความเสมอภาคทางด้านเพศ การศึกษาในระดับสากล และความเข้ากันได้ระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา
อย่างไรก็ตามศาสนาบาไฮมีช่องว่างทางศาสนศาสตร์อยู่มากและมีหลักคำสอนที่ไม่สอดคล้องกัน เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์ คำสอนที่เป็นแกนหลักนั้นมีเพียงแค่ผิวเผินตามความสามัญของพวกเขา ความแตกต่างนั้นคือความลึกซึ้งและรากฐาน ศาสนาบาไฮนั้นหรูหราและการวิจารณ์แบบเต็มขั้นนั้นจะเป็นเหมือนกับสารานุกรม ฉะนั้นมีเพียงข้อสังเกตบางประการตามด้านล่างนี้คือ
ศาสนาบาไฮสอนว่าพระเจ้านั้นไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้ในความสำคัญของพระองค์ บาฮาอิสมีความลำบากในการอธิบายว่าพวกเขามีศาสนศาสตร์ที่ซับซ้อนเกี่ยวกับพระเจ้าแต่ยังยืนกรานว่าพระเจ้านั้น “ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้” และมันไม่ได้ช่วยเลยที่จะกล่าวว่าผู้พยากรณ์และการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าบอกมนุษยชาติเกี่ยวกับพระเจ้า ถ้าพระเจ้านั้น “ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้” ฉะนั้นมนุษยชาติก็ไม่มีการอ้างอิงถึงจุดที่จะบอกว่าผู้สอนคนใดกำลังบอกความจริง ศาสนาคริสต์สอนอย่างถูกต้องว่าพระเจ้านั้นสามารถหยั่งรู้ถึงได้ เป็นที่รู้จักของผู้ที่ไม่เชื่อโดยธรรมชาติ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความรู้ด้านการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระธรรมโรม 1:20 กล่าวว่า “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง” เราสามารถหยั่งรู้ถึงพระเจ้าได้ ไม่ใช่เพียงแค่ผ่านทางการทรงสร้าง แต่ผ่านทางพระคำและการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งนำเราและนำทางเรา รวมถึงเป็นพยานว่าเราเป็นลูกของพระองค์ (โรม 8:14-16) เราไม่เพียงแต่รู้จักพระองค์เท่านั้นแต่เรายังสามารถรู้จักพระองค์อย่างสนิทสนมในฐานะ “อับบา (พ่อ)” ของเรา (กาลาเทีย 4:6) เป็นความจริงที่ว่าพระเจ้าอาจจะไม่ใส่การไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์เข้าไปในความคิดที่มีขีดจำกัดของเรา แต่มนุษย์ยังสามารถมีความรู้บางส่วนเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นความจริงทั้งหมดและมีความสัมพันธ์ที่มีความหมาย
ศาสนาบาไฮสอนเกี่ยวกับพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าแต่ไม่ใช่ผู้ที่จุติลงมาเกิดใหม่ ความแตกต่างนั้นดูเหมือนมีเพียงเล็กน้อยแต่แท้จริงแล้วมีเยอะมาก บาฮาอิสเชื่อว่าพระเจ้าไม่สามารถเป็นที่หยั่งรู้ถึงได้ ดังนั้นพระเจ้าไม่สามารถที่จะปรากฏเป็นรูปร่างใหม่ด้วยพระองค์เองเพื่อที่จะอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในแง่ของความเป็นจริงแล้ว และพระเยซูเป็นที่หยั่งรู้ถึงได้ ฉะนั้นพระเจ้าก็เป็นที่หยั่งรู้ถึงได้ แล้วหลักข้อเชื่อของศาสนาบาไฮก็มีการพิสูจน์ว่าผิด ฉะนั้นบาฮาอิสจึงสอนว่าพระเยซูเป็นภาพสะท้อนของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่คนคนหนึ่งจะมองภาพสะท้อนของดวงอาทิตย์ในกระจกแล้วกล่าวว่า “นั่นคือดวงอาทิตย์” ฉะนั้นคนคนหนึ่งสามารถที่จะมองไปที่พระเยซูแล้วกล่าวว่า “นั่นคือพระเจ้า” หมายถึง “นั่นคือภาพสะท้อนของพระเจ้า” นี่อีกครั้งที่ปัญหาของการสอนว่าพระเจ้านั้น “ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงได้” ปรากฏขึ้นในเมื่อไม่มีทางที่จะแยกแยะระหว่างการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าและการพยากรณ์ที่เป็นความจริงและความเท็จ อย่างไรก็ตามคริสเตียนสามารถถกเถียงว่าพระคริสต์ได้ทรงตั้งพระองค์เองไว้ให้ต่างจากการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าและได้ยืนยันว่าพระองค์เองเป็นพระเจ้าสูงสุดโดยการที่ร่างกายของพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย (พระธรรม 1 โครินธ์บทที่ 15) ซึ่งเป็นจุดที่บาฮาอิสปฏิเสธเช่นเดียวกัน ในขณะที่การฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นเป็นการอัศจรรย์ ถึงกระนั้นมันก็เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการป้องกันไว้ได้เมื่อพิจารณาจากหลักฐาน ดร.แกรี เฮเบอร์มาส (Dr. Gary Hebermas) ดร.วิลเลียม เลน เคร็ก (Dr. William Lane Craig) และเอ็น. ที. ไรท์ (N.T. Wright) ทำได้ดีในการปกป้องประวัติศาสตร์ของการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์
ศาสนาบาไฮปฏิเสธความเพียงพอในพระองค์เองของพระคริสต์และความเพียงพอของพระคัมภีร์ ตามศาสนาบาไฮนั้น พระกฤษณะ พระพุทธเจ้า พระเยซู มุฮัมมัด บาบ และบาฮาอุลลาห์เป็นการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้า และการสำแดงพระองค์เองล่าสุดจะมีอำนาจสูงสุดเนื่องจากว่าท่านจะมีการเปิดเผยจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ตามแนวความคิดเกี่ยวกับการเปิดเผยความจริงของพระเจ้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ในที่นี้การปกป้องความเชื่อของคริสเตียนสามารถใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะในสิทธิของศาสนาคริสต์ หลักการสอน และการเปิดเผยความจริงในทางปฏิบัติโดยที่ไม่รวมถึงระบบทางศาสนาที่ขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามผู้ที่เชื่อในศาสนาบาไฮนั้นกังวลเกี่ยวกับการแสดงให้เห็นว่าศาสนาหลักๆ ของโลกนั้นท้ายที่สุดแล้วปรองดองกันได้ สิ่งที่แตกต่างจะมีการให้เหตุผลถึงความไม่สำคัญดังนี้คือ
1) ใช้กฎหมายสังคม แทนการใช้กฎของฝ่ายวิญญาณเหนือวัฒนธรรม
2) ใช้การเปิดเผยที่มาก่อน เพื่อเป็นการไม่เห็นด้วยกับการเปิดเผยในภายหลังที่ “สมบูรณ์แบบ” มากกว่า
3) การสอนที่ทำให้เสื่อมทรามไปหรือการแปลความหมายแบบผิดๆ
แต่แม้กระทั่งการให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ ศาสนาของโลกนั้นแตกต่างกันมากเกินไปและมีพื้นฐานที่แตกต่างกันมากเกินไปที่จะปรองดองกันได้ เนื่องจากศาสนาของโลกแท้จริงแล้วสอนและปฏิบัติในสิ่งที่ขัดแย้งกัน ภาระสำหรับผู้ที่เชื่อในศาสนาบาไฮที่จะกอบกู้ศาสนาหลักๆ ของโลกในขณะที่รื้อแทบทุกอย่างที่พื้นฐานของศาสนาเหล่านั้น น่าประหลาดที่ศาสนาซึ่งมีความครอบคลุมมากที่สุดคือศาสนาพุธและศาสนาฮินดูมีความเชื่อแบบอเทวนิยมและสรรพเทวนิยม (ตามลำดับ) ในแบบดั้งเดิมและทั้งความเชื่อแบบเทวนิยมและสรรพเทวนิยมก็ไม่ได้รับอนุญาตในความเชื่อแบบเอกเทวนิยมที่เข้มงวดของศาสนาบาไฮ ในขณะเดียวกันศาสนาที่มีศาสนศาสตร์ซึ่งครอบคลุมน้อยที่สุดสำหรับศาสนาบาไฮคือศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนายิวออร์โธดอกซ์นั้นมีความเชื่อแบบเอกเทวนิยมเหมือนกับผู้ที่เชื่อในศาสนาบาไฮ
เช่นเดียวกันศาสนาบาไฮสอนเกี่ยวกับประเภทของการทำงานเพื่อให้ได้รับความรอด ศาสนาบาไฮไม่ค่อยแตกต่างจากศาสนาอิสลามสักเท่าไรในคำสอนหลักเกี่ยวกับการได้รับความรอดยกเว้นแต่สำหรับผู้ที่เชื่อในศาสนาบาไฮนั้นไม่ค่อยมีการกล่าวเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ชีวิตในโลกนี้ต้องเต็มไปด้วยการทำดีซึ่งมีค่าเท่ากับการทำชั่วของคนคนหนึ่งและแสดงให้เห็นถึงการที่คนคนหนึ่งนั้นเหมาะสมที่จะได้รับอิสรภาพในตอนท้าย บาปนั้นไม่มีการจ่ายราคาให้หรือไม่ได้ทำให้ลดลงไป ในทางกลับกันมันได้รับการยกเว้นโดยพระเจ้าที่มีความเป็นไปได้ว่ามีพระเมตตาและพระกรุณา มนุษย์ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับพระเจ้า ตามข้อเท็จจริงแล้วบาฮาอิสสอนว่าไม่มีพระลักษณะในความสำคัญของพระเจ้า มีแต่เพียงในการสำแดงพระองค์เอง ดังนั้นพระเจ้าไม่ยอมง่ายๆ ต่อการมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ เพราะฉะนั้นหลักคำสอนของคริสเตียนเกี่ยวกับพระคุณมีการแปลความใหม่เพื่อให้ “พระคุณ” หมายถึง “ความอดทนอันอ่อนโยนของพระเจ้าเพื่อให้มนุษย์มีโอกาสที่จะได้รับอิสระ” โดยหลักคำสอนที่ถูกสร้างขึ้นนี้เป็นการปฏิเสธการไถ่อันเสียสละของพระคริสต์และเป็นการทำให้บาปลดน้อยลง
มุมมองของคริสเตียนเกี่ยวกับความรอดนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ความบาปนั้นมีการเข้าใจว่าเป็นผลลัพธ์ตลอดนิรันดร์และไม่มีที่สิ้นสุดในเมื่อมันเป็นคดีความระดับโลกต่อพระเจ้าผู้สมบูรณ์แบบอย่างไม่สิ้นสุด (โรม 3:10, 23) ยิ่งกว่านั้นความบาปนั้นใหญ่มากซึ่งต้องมีการเสียลสะชีวิต (เลือด) และประสบกับการลงโทษตลอดนิรันดร์ในชีวิตหลังความตาย แต่พระคริสต์จ่ายราคาสำหรับหนี้ที่เราเป็นอยู่ทั้งหมดโดยการตายเพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์เพื่อมนุษยชาติซึ่งมีความผิด เพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะทำอะไรเพื่อไถ่ตัวเองหรือสมควรได้รับรางวัลตลอดนิรันดร์ เขาควรจะตายเพื่อบาปของเขาเอง หรือไม่ก็เชื่อว่าพระคริสต์ตายแทนที่เขาโดยพระคุณของพระองค์ (พระธรรมอิสยาห์บทที่ 53, โรม 5:8) ดังนั้นความรอดเป็นมาโดยพระคุณของพระเจ้าหรือความเชื่อของมนุษย์หรือก็ไม่มีความรอดนิรันดร์
ฉะนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตกใจที่ศาสนาบาไฮประกาศว่าให้บาฮาอุลลาห์เป็นการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระคริสต์ พระเยซูเองเตือนเราในพระกิตติคุณมัทธิวเกี่ยวกับยุคสุดท้ายคือ “ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้” (มิทธิว 24:23-24) สิ่งที่น่าสนใจคือบาฮาอิสตามปรกติแล้วปฏิเสธหรือลดการอัศจรรย์ใดๆ ก็ตามของบาฮาอุลลาห์ลง ข้อเรียกร้องฝ่ายวิญญาณที่มีลักษณะเฉพาะของท่านนั้นขึ้นอยู่กับอำนาจของการรับรองตัวเอง ความประหลาด สติปัญญาที่ไม่ได้รับการศึกษา การเขียนที่มีผลงานมาก การดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ ความคิดเห็นของคนส่วนมาก และการทดสอบตามความรู้และความเข้าใจอื่นๆ ยิ่งมีการทดสอบแบบต้องการคำตอบแบบตายตัวเช่นการทำให้การพยากรณ์สำเร็จโดยที่มีการใช้อย่างมากเมื่อมีการตีความพระคัมภีร์ในเชิงเปรียบเทียบ (ดูเรื่องโจรในตอนกลางคืน โดยวิลเลียม เซียร์ส ‘Thief in the night: William Sears’) การเชื่อในบาฮาอุลลาห์ส่วนใหญ่นั้นลดลงจนถึงจุดแห่งความเชื่อที่ว่าคนคนหนึ่งยินยอมที่จะยอมรับเขาในฐานะการสำแดงพระองค์เองของพระเจ้าเมื่อขาดการรวบรวมหลักฐานที่เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ แน่นอนว่าศาสนาคริสต์ก็ต้องการความเชื่อแต่คริสเตียนมีหลักฐานที่หนักแน่นและที่สามารถพิสูจน์ได้ซึ่งตามมากับความเชื่อนั้น
ดังนั้นศาสนาบาไฮไม่ได้เข้ากันกับศาสนาคริสต์แบบดั้งเดิม และมันมีอะไรมากมายที่จะตอบสำหรับสิทธิ์ของมันเอง เป็นไปได้ยังไงที่พระเจ้าซึ่งหยั่งรู้ไม่ถึงจะสามารถนำมาซึ่งศาสนศาสตร์ที่ซับซ้อนและพิสูจน์ให้เห็นถึงศาสนาใหม่ของโลกที่เป็นความลึกลับ ศาสนาบาไฮนั้นทำได้ไม่เต็มที่ในการจัดการกับเรื่องของความบาป ทำเหมือนกับว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่และเป็นสิ่งที่เอาชนะได้โดยความพยายามของมนุษย์ ความเป็นพระเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดของพระคริสต์ถูกปฏิเสธ เช่นเดียวกับคุณค่าของหลักฐานและธรรมชาติที่แท้จริงของการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์ และสำหรับศาสนาบาไฮ หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดคือการเป็นพหุนิยม นั่นก็คือจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนคนหนึ่งจะทำให้ศาสนาที่แตกต่างกันสามารถที่จะปรองดองกันได้โดยที่ไม่ให้มีศาสนศาสตร์ที่น่าผิดหวังอย่างมาก เป็นเรื่องง่ายที่จะถกเถียงว่าศาสนาของโลกมีสิ่งที่คล้ายกันตามการสอนทางจริยธรรมและมีแนวความคิดบางประการเกี่ยวกับความจริงสุดท้าย แต่เป็นอีกสิ่งหนึ่งอย่างสิ้นเชิงซึ่งพยายามที่จะโต้เถียงเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวกันในพื้นฐานของการสอนเกี่ยวกับความจริงสุดท้ายและเกี่ยวกับการที่จริยธรรมเหล่านั้นเป็นพื้นฐานที่มั่นคง
English
ศาสนาบาไฮคืออะไร