คำถาม
ทำไมคริสเตียนทุกคนหน้าซื่อใจคด?
คำตอบ
บางทีอาจจะไม่มีคำกล่าวหาใดเร้าอารมณ์มากกว่าเรื่อง "หน้าซื่อใจคด" แต่น่าเสียดายที่บางคนมีมุมมองที่ให้เหตุผลว่าคริสเตียนทุกคนเป็นคนหน้าซื่อใจคด คำว่า "หน้าซื่อใจคด" ได้ตกทอดเต็มที่มาจากภาษาอังกฤษ คำนี้มาถึงเราผ่านทางคำภาษาละติน hypocrisies หมายถึง "การเล่นละคร การเสแสร้ง" ย้อนกลับไป คำที่ปรากฏทั้งในภาษากรีกดั้งเดิมและพันธสัญญาใหม่ภาษากรีกและมีความหมายเดียวกัน—มีบทบาทส่วนหนึ่ง แสร้งทำ
นี้เป็นแนวทางที่พระเยซูทรงชอบใช้คำนี้ ตัวอย่างเช่นเมื่อพระคริสต์ทรงสอนความสำคัญของการอธิษฐาน การอดอาหาร และการให้ทานสำหรับคนในราชอาณาจักร พระองค์ทรงชักชวนไม่ให้เราทำตามตัวอย่างของคนเหล่านั้นที่เป็นคนหน้าซื่อใจคด
มัทธิว 6:2, 5, 16 “เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคด กระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ... เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ...เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาทำหน้าให้มอมแมม เพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้บำเหน็จของเขาแล้ว "
โดยการอธิษฐานยาวๆ ในที่สาธารณชน ใช้วิธีการชั้นสุดยอดเพื่อให้คนอื่นสังเกตเห็นและมั่นใจการอดอาหารของพวกเขา และการที่พวกเขายกของขวัญไปถวายที่วิหารและแจกให้คนยากจน พวกเขาแสดงออกเพียงเปลือกนอกต่อพระเจ้า ในขณะที่พวกฟาริสีแสดงบทบาทเหมือนละครอย่างดีออกมา เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่สาธารณชนว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมเคร่งศาสนา ภายในหัวใจของพวกเขากลับไม่มีคุณค่าภายในใจ
มัทธิว 23:13-15, 23-29 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้ ไว้ว่า ...วิบัติแก่เจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น ... วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาถึงนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า "
“วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายทศางค์ของสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย การถวายทศางค์พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยข้อสำคัญนั้นด้วย โอ คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของผู้เผยพระวจนะ และตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของผู้ชอบธรรมให้งดงาม”
มาระโก 7:20-23 “พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
พระเยซูไม่ทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์ว่าหน้าซื่อใจคด ชื่อนั้นได้ใช้เรียกพวกหัวรุนแรงทางศาสนา ที่ถูกชักนำให้หลงผิดไป
แต่พระองค์ทรงเรียกว่า"เหล่าสาวก" ของพระองค์ว่า "ทารก" "ลูกแกะ" และ "คริสตจักร" ของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีเป็นคำตักเตือนในพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับความบาปของความหน้าซื่อใจคด (1 เปโตร 2:1) ซึ่งเปโตรเรียกว่า "ความไม่จริงใจ" นอกจากนี้มีตัวอย่างความหน้าซื่อใจคดทั้งสองเรื่องได้ถูกบันทึกไว้ในคริสตจักร
กิจการ5:1-10 “แต่มีชายคนหนึ่ง ชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตน และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครทูต ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า ‘อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า’ เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้น ก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงทราบเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป ฝ่ายเปโตรถามนางว่า ‘เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือจงบอกเราเถิด’ หญิงนั้นจึงตอบว่า ‘ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ’ เปโตรจึงถามนางว่า ‘ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย’ ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง”
สาวกสองคนได้ถูกเปิดเผยว่าพวกเขาแสร้งทำท่าว่าใจกว้างขวางกว่าที่เคยเป็น ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ร้ายแรง และในบรรดาทุกคน เปโตรถูกตำหนิเรื่องการนำกลุ่มคนที่หน้าซื่อใจคด ในการปฏิบัติต่อผู้เชื่อชาวต่างชาติ
กาลาเทีย 2:12-13 “ด้วยว่าก่อนที่คนของยากอบมาถึงนั้น ท่านได้กินอยู่ด้วยกันกับคนต่างชาติ แต่พอคนพวกนั้นมาถึง ท่านก็ปลีกตัวออกไปอยู่เสียต่างหาก เพราะกลัวพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต และพวกยิวคนอื่นๆก็ได้แสร้งทำตามท่าน แม้แต่บารนาบัสก็หลงแสร้งทำตามคนเหล่านั้นไปด้วย”
จากคำสอนในพันธสัญญาใหม่ เราอาจพอนำมาสรุปได้สองข้อ ข้อแรก คนหน้าซื่อใจคดมีอยู่จริงท่ามกลางพวกคริสเตียนผู้เชื่อ มีคนหน้าซื่อใจคดเช่นนั้นจริงในตอนเริ่มต้น และตามคำอุปมาของพระเยซูเรื่องข้าวละมานและข้าวสาลี แน่นอนคนแบบนี้จะยังคงอยู่จนถึงสิ้นยุค
มัทธิว 13:18-30 “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง’ พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน' นายก็ตอบว่า 'นี่เป็นการกระทำของศัตรู' พวกทาสจึงถามว่า 'ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ' แต่นายตอบว่า 'อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า 'จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา' ”
นอกจากนี้ หากอัครสาวกจะมีความผิดเรื่องความหน้าซื่อใจคด ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่า คริสเตียน"ธรรมดา" จะรอดพ้นได้ เรามักจะต้องระวังเสมอที่เราไม่ตกอยู่ในการทดลองแบบเดียวกัน
1โครินธ์ 10:12 “เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง”
แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนจะเป็นคริสเตียนที่แท้จริง บางทีอาจจะทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ของคนหน้าซื่อใจคดที่มีชื่อเสียงในหมู่คริสเตียน พวกเขาแท้จริงชอบแสร้งทำและเป็นคนหลอกลวง จนถึงทุกวันนี้ผู้นำคริสเตียนที่โดดเด่นหลายคนได้ล้มลงในความบาปที่น่ากลัว เรื่องอื้อฉาวทางการเงินและทางเพศบางครั้งดูเหมือนจะระบาดไปทั่วชุมชนคริสเตียน แต่ แทนที่จะยอมให้การกระทำของคนไม่กี่คนมาทำให้ชุมชนคริสเตียนทั้งหมดเสื่อมเสีย เราต้องถามว่าคนพวกนั้นที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียนนั้นแท้จริงเป็นคริสเตียนหรือเปล่า เนื้อหาพระคัมภีร์มากมายยืนยันว่าเหล่าคนที่แท้จริงเป็นของพระคริสต์จะสำแดงผลของพระวิญญาณ
กาลาเทีย 5:22-23 “ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย”
คำอุปมาของพระเยซูเรื่องเมล็ดและดินในมัทธิว 13 เราเห็นชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์เป็นคริสเตียนแท้ น่าเศร้าที่หลายคนที่ประกาศตัวยอมรับว่าเป็นของพระองค์จะเจอเหตุการณ์ที่ทำให้งงงวยในวันหนึ่ง
มัทธิว 7:22-23 “ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า 'พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ' เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า 'เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา' “
ข้อที่สองในขณะที่มันไม่ควรทำให้เราแปลกใจว่าคนที่แสร้งทำว่าเป็นคนบริสุทธิ์มากกว่าที่ควรเป็น นั้นเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน เราไม่สามารถสรุปได้ว่าคริสตจักรเกือบทั้งหมดเต็มไปด้วยคนหน้าซื่อใจคด แน่นอนคนอาจจะยอมรับว่าเราทุกคนที่ออกพระนามของพระเยซูคริสต์ยังคงเป็นคนบาปอยู่ แม้หลังจากที่ความบาปของเราได้รับการอภัย นั่นคือแม้ว่าเราจะรอดจากการลงโทษบาปชั่วนิรันดร์ (โรม 5:01; 6:23) เรายังไม่ได้รอดและถูกปลดปล่อยจากบาปที่ยังคงปรากฏในชีวิตของเรา (1 ยอห์น 1:8-9) รวมทั้งความผิดบาปเรื่องความหน้าซื่อใจคด โดยความเชื่อของเราในองค์พระเยซูเจ้า เรายังคงเอาชนะอำนาจบาปได้จนกว่าเราจะได้รับการปลดปล่อยให้หลุดพ้นในที่สุด
1ยอห์น 5:4-5 “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง”
คริสเตียนทุกคนล้มเหลวที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานที่พระคัมภีร์สอน ไม่มีคริสเตียนคนใดที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระคริสต์ แต่ มีคริสเตียนมากมายที่แท้จริงกำลังแสวงหาที่จะดำเนินชีวิตคริสเตียนและกำลังพึ่งพาในพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น เพื่อทรงทำให้รู้สำนึกผิด เปลี่ยนแปลงและเสริมให้พวกเขามีกำลังขึ้น มีฝูงชนชาวคริสต์มากมายที่ใช้ชีวิตของพวกเขารอดพ้นจากเรื่องอื้อฉาว ไม่มีคริสเตียนคนใดที่สมบูรณ์แบบ แต่เขากำลังทำผิดพลาดและไม่สามารถบรรลุความสมบูรณ์แบบในชีวิต สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเป็นแบบเดียวกับการเป็นคนหน้าซื่อใจคด
English
ทำไมคริสเตียนทุกคนหน้าซื่อใจคด?