คำถาม
ข้อพระธรรม มาระโก 16:16 สอนว่าบัพติสมาจำเป็นสำหรับความรอดหรือ?
คำตอบ
จะเป็นข้อพระคัมภีร์ข้อเดียวหรือตอนเดียว เราหยั่งรู้ถึงสิ่งที่สอนจากการกรองครั้งแรกผ่านสิ่งที่เรารู้พระคัมภีร์ส่วนที่เหลือสอนเรื่องใกล้มือสอนเรื่องใกล้จะถึงในกรณีของการรับบัพติสมาและความรอด พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าความรอดได้มาเพราะพระคุณโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่โดยการกระทำใด ๆ รวมทั้งการรับบัพติสมา
เอเฟซัส 2:8-9 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้
ดังนั้น การตีความใด ๆ ซึ่งนำมาถึงข้อสรุปว่า การรับบัพติสมาหรือการกระทำอื่นใด เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอด คือการตีความที่ผิดพลาด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดอ่านที่เว็บเพจของเราเรื่อง “ความรอดได้รับโดยความเชื่อ เท่านั้น หรือความเชื่อพร้อมกับการกระทำ” จะเป็นข้อพระคัมภีร์ข้อเดียวหรือตอนเดียว เราหยั่งรู้ถึงสิ่งที่สอนโดยการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบในภาษาและเนื้อหาข้อพระคัมภีร์นั้น นอกจากนี้เรายังได้กรองมันผ่านสิ่งที่เรารู้พระคัมภีร์สอนที่อื่น ๆ ในเรื่องนี้ ในกรณีเรื่องการรับบัพติสมาและความรอด พระคัมภีร์สอนชัดเจนว่าความรอดได้มาเพราะพระคุณโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่โดยการกระทำใด ๆ รวมทั้งการรับบัพติสมา ดังนั้น การตีความใด ๆ ซึ่งนำมาถึงข้อสรุปว่า การรับบัพติสมาหรือการกระทำอื่นใด เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอด คือการตีความที่ผิดพลาด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดอ่านที่เว็บเพจของเราเรื่อง "ความรอดได้รับโดยความเชื่อ เท่านั้น หรือความเชื่อพร้อมกับการกระทำ”
มาระโก 16:16 ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ
กล่าวถึงพระธรรมมาระโก 16:16 นับว่าสำคัญที่ต้องจำไว้ว่า มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับเนื้อหาพระธรรมในมาระโกบทที่ 16 ข้อ 9-20 มีคำถามบางอย่าง เช่นว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เดิมที่เป็นส่วนหนึ่งของพระกิตติคุณมาระโก หรือข้อเหล่านั้นอาจถูกใส่เพิ่มในภายหลังโดยอาลักษณ์หรือไม่ ผลก็คือ เป็นการดีที่สุดที่จะไม่อิงคำสอนหลักในสิ่งใดจากพระธรรมมาระโก16:9-20 เช่นการจัดการกับงู ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากพระธรรมตอนอื่นๆในพระคัมภีร์
สมมติว่าพระคัมภีร์ข้อที่16 เป็นของเดิมในพระธรรมมาระโก มันสอนว่าการรับบัพติสมาจำเป็นสำหรับความรอดหรือไม่ คำตอบสั้นๆ คือไม่ มันไม่ใช่ เพื่อที่จะทำสิ่งนี้ มันสอนว่าการรับบัพติสมาจำเป็นสำหรับความรอด คนเราต้องไปดูย้อนหลังสิ่งที่ข้อพระคัมภีร์นั้นกล่าวจริงๆ สิ่งที่ข้อนี้สอน คือว่าความเชื่อนั้นจำเป็นสำหรับความรอด ซึ่งสอดคล้องกับข้อพระคัมภีร์มากมายนับไม่ถ้วนที่ซึ่งกล่าวถึงความเชื่อเท่านั้น
ยอห์น 3:18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
ยอห์น 5:24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
ยอห์น 12:44 และพระเยซูทรงประกาศว่า “บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
ยอห์น 20:31 แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
1 ยอห์น 5:13 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย ที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์
มาระโก16:16 ประกอบด้วยคำกล่าวพื้นฐานสองด้าน 1. ผู้ใดเชื่อและได้รับบัพติสมาจะรอดได้ 2. ผู้ใดที่ไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ
ในขณะที่ข้อนี้บอกเราบางสิ่งที่เกี่ยวกับบรรดาผู้เชื่อที่ได้รับบัพติสมา (พวกเขาจะรอด) มันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับผู้เชื่อที่ยังไม่ได้รับบัพติสมา เพื่อจะสอนข้อนี้ว่า บัพติสมาจำเป็นสำหรับความรอด คำกล่าวที่สามจะเป็นสิ่งจำเป็น เช่น “ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ” หรือ “ผู้ใดที่ไม่ได้รับบัพติสมาจะจะต้องปรับโทษ” แต่แน่นอน เราจะไม่พบคำกล่าวเหล่านี้ในข้อพระคัมภีร์
บรรดาผู้ที่พยายามที่จะใช้มาระโก16:16 เพื่อสอนว่าบัพติสมาจำเป็นสำหรับความรอด ได้กระทำความผิดธรรมดาแต่ร้ายแรง ที่บางครั้งเราเรียกว่า การทำให้เข้าใจผิดข้อสรุปในเชิงลบ การทำให้เข้าใจผิดนี้อาจกล่าวได้ดังนี้ “ ถ้าคำกล่าวนั้นเป็นจริง เราไม่สามารถสันนิษฐานว่าการปฏิเสธทั้งหมด (หรือคำโต้แย้ง)ของคำกล่าวนั้นเป็นจริงด้วย” ยกตัวอย่างเช่น คำกล่าว “ถ้าสุนัขที่มีจุดสีน้ำตาลเป็นสัตว์” เป็นจริง ถ้าเช่นนั้น ประโยคปฏิเสธ “ ถ้าสุนัขไม่ได้มีจุดสีน้ำตาล มันไม่ใช่สัตว์” ก็เป็นเท็จ ในทำนองเดียวกัน “ ผู้ใดที่เชื่อและได้รับบัพติสมา ก็จะรอดได้” เป็นจริง อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ว่า “ผู้ใดที่เชื่อแต่ไม่ได้รับบัพติสมา ก็จะไม่รอด” เป็นสมมุติฐานที่ไม่สามารถรับรองได้ แต่แท้จริงตรงนี้เป็นสมมติฐานที่ทำโดยบรรดาผู้ที่สนับสนุนการบังเกิดใหม่โดยบัพติสมา
จงพิจารณาตัวอย่างนี้ “ ผู้ใดที่เชื่อและอยู่ในรัฐแคนซัส(สหรัฐอเมริกา) จะรอดได้ แต่บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ” คำกล่าวนี้เป็นจริงแน่นอน; ชาวแคนซัสที่เชื่อในพระเยซูจะรอดได้ อย่างไรก็ตาม ที่จะบอกว่าเฉพาะบรรดาผู้เชื่อที่อาศัยอยู่ในรัฐแคนซัสจะรอดได้ เป็นสมมติฐานที่ไร้เหตุผลและเป็นเท็จ คำกล่าวไม่ได้บอกว่า ผู้เชื่อต้องอาศัยอยู่ในรัฐแคนซัสเพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ในทำนองเดียวกัน พระธรรมมาระโก 16:16 ไม่ได้บอกว่าผู้เชื่อต้องรับบัพติสมา ข้อพระคัมภีร์ระบุความจริงเกี่ยวกับผู้เชื่อที่ได้รับบัพติสมา (พวกเขาจะรอดได้) แต่แท้จริงมันไม่ได้กล่าวถึงผู้เชื่อที่ไม่ได้รับบัพติสมา อาจจะมีผู้เชื่อที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในรัฐแคนซัส แต่พวกเขายังคงรอดได้; และอาจจะมีผู้เชื่อที่ยังไม่ได้รับบัพติสมา แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็รอดได้
เงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงที่จำเป็นสำหรับความรอด ได้ถูกระบุไว้ในตอนที่สองของข้อพระธรรมมาระโก 16: 16 “ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ" โดยพื้นฐาน พระเยซูได้ทรงให้เงื่อนไขทั้งความเชื่อในเชิงบวก(ผู้ใดเชื่อจะรอดได้) และความไม่เชื่อในเชิงลบ(ผู้ใดที่ไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ) ดังนั้นเราจึงสามารถพูดด้วยความมั่นใจแน่นอนว่า ความเชื่อนั้นจำเป็นสำหรับความรอด ที่สำคัญกว่านั้น เราเห็นเงื่อนไขนี้ถูกกล่าวซ้ำอีกในเชิงบวกและในเชิงลบตลอดทั้งพระคัมภีร์
ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
ยอห์น 3:18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
ยอห์น 3:36 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา
ยอห์น 5:24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
ยอห์น 6:53-54 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย
ยอห์น 8:24 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะตายเพราะบาปของท่าน เพราะว่าถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะต้องตายในการบาปของตัว”
กิจการ 16:31 เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย”
พระเยซูทรงกล่าวถึงเงื่อนไขที่สัมพันธ์กับความรอด(บัพติสมา) มาระโก 16:16. ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ แต่เราไม่ควรสับสนเงื่อนไขที่สัมพันธ์กันกับข้อกำหนดที่ต้องมี ตัวอย่างเช่น การมีไข้จะเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย แต่ไม่จำเป็นต้องมีไข้เวลาที่ต้องอยู่ในสภาพเจ็บป่วย ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่เราจะพบคำกล่าวเช่น “ผู้ใดที่ไม่ได้รับบัพติสมาจะถูกลงพระอาชญา” ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพูดได้ว่า บัพติสมาเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอด ตามข้อพระธรรมมาระโก16:16 หรือข้ออื่นๆ
ข้อพระธรรมมาระโก 16:16 สอนว่าการรับบัพติสมาจำเป็นสำหรับความรอดหรือ ไม่ใช่เลย มันกำหนดชัดเจนว่าความเชื่อเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความรอด แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์หรือหักล้างหลักความคิดว่ามีความจำเป็นต้องรับบัพติสมา ถ้างั้น เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราจะต้องรับบัพติสมาหรือไม่ เพื่อจะรอดได้ เราต้องดูคำแนะนำปรึกษาเต็มรูปแบบในพระวจนะของพระเจ้า นี่เป็นหลักฐานสรุปคือ:
1. พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าเราจะรอดได้โดยความเชื่อเพียงอย่างเดียว อับราฮัมรอดได้โดยความเชื่อและเราก็รอดได้โดยความเชื่อ
โรม 4:1-25 ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอะไรเรื่องอับราฮัม บรรพบุรุษของเราตามสายโลหิต ถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าท่านไม่มีทางอย่างนั้น พระคัมภีร์ว่าอย่างไรก็ว่า อับราฮัมเชื่อในพระเจ้าและเพราะความเชื่อนั้นเอง พระเจ้าทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม ฝ่ายคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ ส่วนคนที่มิได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงโปรดให้คนผิดเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้น พระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นคนชอบธรรม โดยมิได้อาศัยการประพฤติ ว่าคนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงโปรดยกการอธรรมของเขาแล้ว และพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้ว ก็เป็นสุข บุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัตพวกเดียวหรือ หรือว่ามีแก่พวกที่มิได้เข้าสุหนัตด้วย เพราะเรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเองพระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม” แต่พระเจ้าทรงถืออย่างไร เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วหรือ หรือเมื่อยังไม่ได้เข้าสุหนัต มิใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้ว แต่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต และท่านได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตราแห่งความชอบธรรม ซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ ทั้งที่เมื่อเขายังไม่ได้เข้าสุหนัตและพระเจ้าทรงถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมด้วย และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัต ที่มิได้เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเราทั้งหลาย ซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติ แต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ ถ้าเขาเหล่านั้นที่ถือตามธรรมบัญญัติจะเป็นทายาท ความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์ เพราะธรรมบัญญัติเป็นเหตุให้มีการลงพระอาชญา แต่ที่ใดไม่มีธรรมบัญญัติ ที่นั้นก็ไม่มีการละเมิดธรรมบัญญัติ ด้วยเหตุนี้เอง การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือธรรมบัญญัติพวกเดียว แต่แก่บรรดาคนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเรา ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของมวลประชาชาติ ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมา และทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้มี ให้มีขึ้น ฝ่ายอับราฮัมนั้น เมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้ใจ มีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายประชาชาติ ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายอย่างนั้น” ความเชื่อของท่านมิได้ลดน้อยลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของท่าน ซึ่งเปรียบเหมือนตายไปแล้ว เพราะท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคำนึงถึงครรภ์ของนางซาราห์ว่าเป็นหมัน ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า ท่านเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์ อาจกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระองค์ตรัสสัญญาไว้ ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่า ความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมของท่าน แต่คำว่า “ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของท่าน” นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว แต่สำหรับพวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเจ้าของเราให้ฟื้นขึ้นจากความตาย คือพระเยซูผู้ทรงถูกอายัดไว้ให้ถึงสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นจากความตาย เพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม
กาลาเทีย 3:6-22 ดังที่อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และ การที่เชื่อนั้น พระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน ฉะนั้นคนที่เชื่อนั่นแหละเป็นบุตรของอับราฮัม และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้า เหตุฉะนั้นคนที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกแช่งสาป เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกแช่งสาป เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะ ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็จะได้ชีวิตดำรงอยู่โดยธรรมบัญญัตินั้น พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกแช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง) เพื่อพระพรทางอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย เพราะพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้ว ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ บรรดาพระสัญญา ที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็นพระคริสต์ ข้าพเจ้าว่า ธรรมบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี จะทำลายพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้เมื่อก่อนนั้นให้เป็นโมฆะไม่ได้ เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยธรรมบัญญัติ ก็ไม่ใช่ได้โดยพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงโปรดประทานมรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยพระสัญญา ถ้าเช่นนั้นมีธรรมบัญญัติไว้ทำไม ที่เพิ่มธรรมบัญญัติไว้ก็เพื่อบาปจะปรากฏเป็นความละเมิด จนกว่าพงศ์พันธุ์ที่ได้รับพระสัญญานั้นจะมาถึง พวกทูตสวรรค์ได้ตั้งธรรมบัญญัตินั้นไว้โดยมือของคนกลาง เมื่อมีฝ่ายเดียวทำการจึงไม่ต้องการคนกลาง และพระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียวนั้น ถ้าเช่นนั้นธรรมบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะว่าถ้าทรงตั้งธรรมบัญญัติอันอาจทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ ความชอบธรรมก็จะมีได้โดยธรรมบัญญัตินั้นจริง แต่พระคัมภีร์ได้บ่งว่าทุกคนอยู่ในความบาป เพื่อจะประทานตามพระสัญญาแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ โดยอาศัยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นหลัก
2 . ตลอดพระคัมภีร์ ทุกระบบการบริหารจัดการ ผู้คนรอดได้โดยไม่ได้รับบัพติสมา ผู้เชื่อทุกคนในพระคัมภีร์เดิม (ตัวอย่างเช่น อับราฮัม ยาโคบ ดาวิด โซโลมอน)รอดได้แต่ไม่ได้รับบัพติสมา โจรบนกางเขนก็รอดได้ แต่ไม่ได้รับบัพติสมา คอร์เนลีอัสก็รอดได้ก่อนที่เขาจะได้รับบัพติสมา
กิจการ 10:44-46 เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือในพระเยซูเจ้า คือที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงย้อนถามว่า
3. บัพติสมาเป็นพยานหลักฐานของความเชื่อและการประกาศต่อสาธารณชนว่าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกเราว่า เรามีชีวิตนิรันดร์ทันทีที่เราเชื่อ และความเชื่อเกิดขึ้นก่อนที่จะได้รับบัพติสมา บัพติสมาไม่ได้ช่วยเราให้รอดมากไปกว่าการเดินตามทางเดินหรือกล่าวคำอธิษฐานช่วยเราให้รอด เรารอดแล้วเมื่อเราเชื่อ
4 . พระคัมภีร์ไม่เคยบอกว่าถ้าคนใดไม่ได้รับบัพติสมาแล้วเขาจะไม่รอด
5.หากบัพติศมาจำเป็นสำหรับความรอดแล้ว ถ้างั้นไม่มีใครจะรอดได้โดยปราศจากการมาเข้าร่วมชุมนุมกัน บางคนต้องอยู่ที่นั่นเพื่อให้บัพติศมาแก่บุคคลหนึ่งก่อนที่คนนั้นจะรอดได้ สิ่งนี้ส่งผลให้จำกัดคนใดที่สามารถรอดได้และเมื่อไรที่เขาจะรอดได้ ผลที่ตามมาของหลักข้อเชื่อนี้ เมื่อดำเนินการไปสู่ข้อสรุปที่มีเหตุผล เกิดความเสียหายมาก ยกตัวอย่างเช่น ทหารผู้ที่เชื่อในสนามรบ แต่ถูกฆ่าตายก่อนที่เขาจะสามารถมารับบัพติสมา เขาก็จะไปลงนรก
6 . ตลอดพระคัมภีร์ เราเห็นว่าประเด็นเรื่องความเชื่อ ผู้เชื่อครอบครองพระสัญญาและพระพรแห่งความรอดทั้งหมด
ยอห์น 1:12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า
ยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
ยอห์น 5:24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว
ยอห์น 6:47 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์
ยอห์น 20:31 แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
กิจการ10:43 ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกๆคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์”
กิจการ 13:39 และโดยพระองค์นั้นทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษได้ทุกอย่าง ซึ่งจะพ้นไม่ได้โดยธรรมบัญญัติของโมเสส
กิจการ 16:31 เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย”
เมื่อคนใดเชื่อ เขาก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ตกอยู่ภายใต้การพิพากษา และได้ผ่านพ้นจากความตายเข้าสู่ชีวิต ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนที่เขาหรือเธอจะได้รับบัพติสมา
ถ้าคุณเชื่อการเกิดใหม่โดยบัพติสมา คุณก็จะประสบความสำเร็จที่ไตร่ตรองด้วยการอธิษฐานหนักว่าจริงๆ แล้วคุณควรไว้วางใจคนใดหรือสิ่งใด คุณมีความเชื่อในการกระทำทางฝ่ายกาย( รับบัพติสมา) หรือในพระราชกิจของพระคริสต์ที่เสร็จสิ้นแล้วบนกางเขน ใครหรือสิ่งใดที่คุณไว้วางใจเพื่อได้รับความรอด มันเป็นเงา(บัพติสมา) หรือสสาร (พระเยซูคริสต์) ความเชื่อของเราต้องเชื่อในพระคริสต์เพียงพระองค์เดียว
เอเฟซัส 1:7 ในพระเยซูนั้น เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ของเราโดยพระกรุณาอันอุดมของพระองค์
English
ข้อพระธรรม มาระโก 16:16 สอนว่าบัพติสมาจำเป็นสำหรับความรอดหรือ?