คำถาม
การติดตามพระคริสต์อย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร?
คำตอบ
ในพระกิตติคุณ (มัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์น) พระบัญชาของพระเยซูที่ว่า "จงตามเรามา" ปรากฏซ้ำๆ หลายครั้ง
มัทธิว 8:22 “พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด”
มัทธิว 9:9 “ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป”
มาระโก 2:14 “เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวีบุตรอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสแก่เขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป”
ลูกา 5:27 “ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้นพระองค์ได้เสด็จออกไป และทรงเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า ‘จงตามเรามาเถิด’”
ยอห์น 1:43 “รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า ‘จงตามเรามา’”
ในหลายกรณี พระเยซูทรงเรียกชายสิบสองคนที่จะมาเป็นสาวกของพระองค์
มัทธิว 10:3–4 “ฟีลิป และบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและเลบเบอัส ผู้ที่มีชื่ออีกว่าธัดเดอัส ซีโมนพรรคชาตินิยม และยูดาส อิสคาริโอท ที่ได้อายัดพระองค์ไว้นั้น”
แต่บางคราว พระองค์กำลังตรัสกับใครก็ตามผู้ที่ต้องการสิ่งที่พระองค์จะมอบให้
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
มาระโก 8:34 “พระองค์จึงทรงร้องเรียกประชาชนกับเหล่าสาวกให้เข้ามา แล้วตรัสแก่เขาว่า “ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา”
มัทธิว 10:34–39 “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เรามิได้นำสันติภาพมาให้g แต่เรานำดาบมา เรามาเพื่อจะให้ ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดา และลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และผู้ใดรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา และผู้ใด ที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอด จะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่สู้เสียชีวิตของตนเ พราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด”
ตรงนี้ พระเยซูทรงระบุอย่างชัดเจนว่า มันหมายความว่าอะไรที่จะติดตามพระองค์ การที่พระเยซูทรงใช้ "ดาบ" และทำให้สมาชิกในครอบครัวหันหลังให้กัน อาจดูโหดเล็กน้อยตามหลังคำตรัสเช่น "ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ" (ยอห์น 3:16) แต่พระเยซูไม่เคยทรงทำให้ความจริงอ่อนลง และความจริงก็คือว่าการติดตามพระ องค์นำไปสู่การตัดสินใจที่ยากลำบาก บางครั้งอาจปรากฏว่ามีการกลับหลังหันได้ เมื่อคำสั่งสอนของพระเยซูจบจากคำเทศนาบนภูเขาเรื่องความสุขอย่างยิ่ง ไปสู่เรื่องกางเขนที่กำลังจะมาถึง หลายคนที่ติดตามพระองค์ได้หันกลับไปเลย (มัทธิว 5:3–11)
ยอห์น 6:66 “ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอย ไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก”
แม้พวกสาวกตัดสินใจว่าการติดตามพระเยซูยากลำบากมากในคืนที่พระองค์ทรงถูกอายัดไว้ ทุกๆ คนละทิ้งพระองค์ไป
มัทธิว 26:56 “แต่เหตุการณ์ที่ได้บังเกิดขึ้นครั้งนี้ เพื่อจะสำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้ละทิ้งพระองค์ไว้ และพากันหนีไป”
มาระโก 14:50 “แล้วสาวกทั้งหมดได้ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป”
ในคืนนั้น การติดตามพระเยซูคริสต์หมายถึงว่าจะเกิดการจับกุมและการประหารชีวิต แทนที่จะเสี่ยงชีวิตของตนเอง เปโตรได้ปฏิเสธว่าท่านไม่รู้จักพระเยซูถึงสามครั้ง
มัทธิว 26:69–75 “ฝ่ายเปโตรนั่งอยู่นอกตึกที่ลานบ้าน มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า ‘แกได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วยเหมือนกัน’ แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า ‘ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง’ เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ประตูบ้าน สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้ง ปวงที่อยู่ที่นั่นว่า ‘คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย’ เปโตรจึงปฏิเสธอีกทั้งสาบานว่า ‘ข้าไม่รู้จักคนนั้น’ อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า ‘เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง’ เปโตรก็สบถสาบานใหญ่ว่า ‘ข้าไม่รู้จักคนนั้น’ ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ว่า “ก่อนไก่ขันเจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์ยิ่งนัก”
การติดตามพระคริสต์อย่างแท้จริง หมายถึงพระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเรา ทุกคนทำตามบางสิ่งบางอย่างเช่น เพื่อนๆ วัฒนธรรมอันเป็นที่นิยม ครอบครัว ความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว หรือพระเจ้า เราสามารถติดตามสิ่งเดียวได้ในครั้งหนึ่งเท่านั้น
มัทธิว 6:24 “ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้”
พระเจ้าตรัสว่าเราต้องไม่มีพระอื่นใดต่อพระพักตร์พระองค์
อพยพ 20:3 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา”
พระราชบัญญัติ 5:7 “'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา”
มาระโก 12:30 “และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน”
การติดตามพระคริสต์อย่างแท้จริงหมายถึงเราไม่ติดตามสิ่งอื่นใด ลูกา 9:23 “พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา” ไม่มีสิ่งใดแบบที่ว่า "สาวกครึ่งทาง" ดังที่เหล่าสาวกแสดงให้เห็น ไม่มีใครสามารถติดตามพระเยซูคริสต์ด้วยความตั้งใจจริงของตนเอง พวกฟาริสีเป็นตัวอย่างที่ดีของบรรดาผู้ที่พยายามจะเชื่อฟังพระเจ้าด้วยกำลังของตนเอง ความพยายามด้วยตนเองนำไปถึงได้เพียงแค่ความเย่อหยิ่งและการบิดเบือนพระประสงค์ทั้งหมดของพระบัญญัติของพระเจ้า
ลูกา 11:39 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “เจ้าพวกฟาริสีย่อมชำระถ้วยชามข้างนอก แต่ข้างในของเจ้าเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วร้าย”
มัทธิว 23:24 “โอ คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป”
พระเยซูทรงบอกเคล็ดลับให้พวกสาวกของพระองค์ติดตามพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ แต่พวกเขาก็ไม่ได้จดจำในเวลานั้น
ยอห์น 6:63, 65 “จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต และพระองค์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า 'ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดผู้นั้น' ”
พวกสาวกได้เดินกับพระเยซูเป็นเวลาสามปี เรียนรู้ และมีส่วนร่วมในการอัศจรรย์ของพระองค์ แต่กระนั้น พวกเขาจะไม่สามารถติดตามพระองค์อย่างสัตย์ซื่อด้วยกำลังของ ตนเองได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องมีพระผู้ช่วย
พระเยซูทรงสัญญาไว้หลายครั้งว่า เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปยังพระบิดา พระองค์จะทรงส่ง "ผู้ช่วย" ให้แก่พวกเขา – คือพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยอห์น 14:26 “แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว”
ยอห์น 15:26 “แต่เมื่อองค์พระผู้ช่วยที่เราจะใช้มาจากพระบิดาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริงผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็จะทรงเป็นพยานให้แก่เรา”
ที่จริง พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า เพื่อประโยชน์แก่พวกเขา ที่พระองค์เสด็จจากไปเพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้เสด็จมา
ยอห์น 16:7 “อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน”
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตภายในจิตใจของผู้เชื่อทุกคน
กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ใน ร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”
โรม 8:16 “พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า”
ฮีบรู 13:5 “ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย”
มัทธิว 28:20 “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
พระเยซูทรงเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ว่า พวกเขาต้องไม่เริ่มต้นเป็นพยานถึงพระองค์ "จนกว่าพวกท่านจะได้รับการสวมทับโดยฤทธิ์เดชจากเบื้องบน"
ลูกา 24:49 “และดูเถิด เราจะส่งซึ่งพระบิดาของเราทรงสัญญานั้น มาเหนือท่านทั้งหลาย แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่าน จะได้ประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่ มาจากเบื้องบน”
กิจการ 1:4 “เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครทูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา คือพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ”
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จมาเหนือบรรดาผู้เชื่อครั้งแรกในเทศกาลเพ็นเทคอสต์พวกเขาก็ได้รับฤทธิ์อำนาจที่พวกเขาจำเป็นต้องมี เพื่อติดตามพระเยซูคริสต์ จนกระ ทั่งถึงความตายหากจำเป็น
กิจการ 2:1–4 “เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆตามที่ พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด
กิจการ 4:31 “เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ”
กิจการ 7:59-60 “เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟน เมื่อกำลังอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ว่า ‘ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย’ สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป”
การติดตามพระเยซูหมายถึงการดิ้นรนเพื่อให้เป็นเหมือนพระองค์ พระองค์ทรงเชื่อฟังพระบิดาของพระองค์เสมอ ดังนั้นแหละเป็นสิ่งที่เราควรหาทางที่จะทำ
ยอห์น 8:29 “และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็ทรงสถิตอยู่กับเรา พระองค์มิได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ”
ยอห์น 15:10 “ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตาม พระบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์”
การติดตามพระคริสต์อย่างแท้จริงหมายถึงการทำให้พระองค์ทรงเป็นเจ้านาย นั่นคือความหมายของการทำให้พระคริสต์เป็นเจ้าแห่งชีวิตของเรา
โรม 10:9 “คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด”
1 โครินธ์ 12:3 “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงบอกท่านทั้งหลายให้ทราบว่า ไม่มีผู้ใดซึ่งพูดโดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า ‘ขอให้พระเยซูถูกแช่ง’ และไม่มีผู้ใดอาจพูดว่า ‘พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า’ นอกจากผู้ที่พูดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
2 โครินธ์ 4:5 “เราไม่ได้ประกาศตัวเราเอง แต่ได้ประกาศพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู”
การตัดสินใจและความฝันทุกอย่างถูกกรองผ่านพระคำของพระองค์ โดยมีเป้าหมายเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ในทุกสิ่ง
1 โครินธ์ 10:31 “เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทานจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า”
เราไม่ได้รับความรอดโดยสิ่งต่างๆ ที่เราทำเพื่อพระคริสต์ แต่ด้วยสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อเรา
เอเฟซัส 2:8–9 “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้”
ด้วยพระกรุณาของพระองค์ เราต้องทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยในทุกสิ่ง ทั้งหมดนี้บรรลุผลเมื่อเรายอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงควบคุมพื้นที่ทั้งหมดในชีวิตของเราอย่างสมบูรณ์
เอเฟซัส 5:18 “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ”
พระองค์ทรงอธิบายข้อพระคัมภีร์ ประทานฤทธิ์อำนาจแก่เราด้วยของประทานฝ่ายวิญญาณ ทรงปลอบประโลมใจเราและทรงนำทางเรา
ยอห์น 14:26 “แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว”
1 โครินธ์ 2:14 “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ”
1 โครินธ์ 12:4-11 “ของประทานนั้นมีต่างๆกัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน งานรับใช้มีต่างๆกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆในทุกคน การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พระเจ้าทรงโปรดประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำอั นประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งทำการอิทธิฤทธิ์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะได้ และให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้ สิ่งสารพัดเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงบันดาลและ ประทานแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์”
ยอห์น 14:16 “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป”
การติดตามพระคริสต์หมายความว่า เรานำความจริงที่เราเรียนรู้จากพระวจนะของพระองค์มาใช้ และใช้ชีวิตราวกับว่าพระเยซูทรงเดินเคียงข้างเราด้วยพระองค์เอง
English
การติดตามพระคริสต์อย่างแท้จริงหมายความว่าอะไร?