settings icon
share icon
คำถาม

เราสามารถเรียนรู้อะไรจากชีวิตของดาวิด

คำตอบ


เราสามารถเรียนรู้หลายอย่างจากชีวิตของดาวิด เขาเป็นผู้ชายที่เดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า (1 ซามูเอล 13:13-14, กิจการ 13:22) เราได้รู้จักดาวิดเป็นครั้งแรกหลังจากที่ซาอูลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ตามคำเรียกร้องของประชาชน (1 ซามูเอล 8:5, 10:1) ซาอูลไม่สามารถที่จะพิสูจน์ถึงความสามารถในการเป็นกษัตริย์เพื่อพระเจ้า ในขณะที่กษัตริย์ซาอูลทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระเจ้าทรงส่งซามูเอลไปเพื่อตามหาผู้เลี้ยงแกะที่พระองค์ทรงเลือกไว้นั่นคือดาวิดบุตรเจสซี (1 ซามูเอล 16:10, 13)

เชื่อกันว่าดาวิดมีอายุระหว่างสิบสองถึงสิบหกปีเมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของเจสซีและไม่น่าจะได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์ในสายตามนุษย์ ซามูลเอลคิดว่าเอลีอับซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของดาวิดนั้นเป็นผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งอย่างแน่นอน แต่พระเจ้าตรัสกับซามูลเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา เพราะเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ” (1 ซามูเอล 16:7) ลูกชายของเจสซีเจ็ดคนได้ปรากฏอยู่ต่อซามูเอล แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกใครในนั้น ซามูเอลถามเจสซีว่ามีลูกชายอีกไหม ลูกคนสุดท้องคือดาวิด ออกไปเลี้ยงแกะ พวกเขาเลยเรียกเด็กชายเข้ามาแล้วซามูเอลก็แต่งตั้งเข้าด้วยน้ำมันคือ “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงสวมทับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป” (1 ซามูเอล 16:13)

พระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่าพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากซาอูลและวิญญาณชั่วมาทรมานเขา (1 ซามูเอล 16:14) คนรับใช้ของซาอูลเสนอให้เรียกคนเล่นพิณ แล้วคนหนึ่งเสนอดาวิดโดยการกล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพระบาทเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ พูดเก่ง และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระยาห์เวห์สถิตกับเขา” (1 ซามูเอล 16:18) ดังนั้นดาวิดเข้ามารับใช้กษัตริย์ (1 ซามูเอล 16:21) ซาอูลพอใจในเด็กหนุ่มดาวิดและเขาก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือเกราะของซาอูล

ความพอใจของซาอูลที่มีต่อดาวิดก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อดาวิดมีกำลังและชื่อเสียงมากขึ้น หนึ่งในเรื่องราวซึ่งโด่งดังที่สุดในพระคัมภีร์เรื่องหนึ่งคือการที่ดาวิดได้ฆ่ายักษ์โกลิอัท ชาวฟิลิสเตียกำลังทำสงครามกับอิสราเอลและเยาะเย้ยกองกำลังทหารของอิสราเอลด้วยนักรบของพวกเขา คือโกลิอัทจากเมืองกัท พวกเขาเสนอให้มีการดวลกันระหว่างโกลิอัทกับใครก็ตามที่จะต่อสู้กับเขา แต่ไม่มีใครในอิสราเอลที่อาสาจะต่อสู่กับยักษ์ตนนี้ เหล่าพี่ชายของดาวิดเป็นส่วนหนึ่งในกองทัพของซาอูล หลังจากที่โกลิอัทเยาะเย้ยชาวอิสราเอลเป็นเวลาสี่สิบวัน ดาวิดก็มาหาพี่ๆ ที่สนามรบและได้ยินถึงการโอ้อวดของชาวฟิลิสเตีย คนเลี้ยงแกะหนุ่มถามว่า “เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามไปจากอิสราเอล? คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใคร จึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่?” (1 ซามูเอล 17:26) พี่ชายคนโตของดาวิดโกรธและกล่าวหาว่าดาวิดมีความทะนงตัวและมาเพียงเพื่อที่จะดูการต่อสู้ แต่ดาวิดก็ยังกล่าวถึงปัญหานี้ต่อไป

ซาอูลได้ยินสิ่งที่ดาวิกล่าวแล้วให้คนไปตามเขา ดาวิดกล่าวกับซาอูลว่า “อย่าให้จิตใจของใครฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้” (1 ซามูเอล 17:32) ซาอูลไม่อยากที่จะเชื่อเนื่องด้วยดาวิดไม่ใช่ทหารที่ได้รับการฝึกฝน ดาวิดให้การอ้างอิงในฐานะที่เป็นคนเลี้ยงแกะ ซึ่งระมัดระวังในการที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ดาวิดได้ฆ่าสิงโตและหมีที่ไล่ล่าแกะของเขา และเขาอ้างว่าคนฟิลิสเตียจะตายเหมือนพวกมัน เพราะเขาได้ “ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” และดาวิดทูลต่อไปว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากอุ้งเท้าของสิงโต และจากอุ้งเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียนี้” (1 ซามูเอล 17:36-37) ซาอูลให้การยินยอม และให้ดาวิดสวมเสื้อเกราะของซาอูลเข้าไปในการต่อสู้ แต่ดาวิดไม่คุ้นชินกับเสื้อเกราะและทิ้งมันไว้ ดาวิดได้เอาเพียงแค่ไม้เท้า ก้อนหินเรียบๆ ห้าก้อน ถุงย่าม และสลิงไปกับเขา โกลิอัทไม่ได้รู้สึกถูกข่มขวัญโดยดาวิด ดาวิดเองก็ไม่ได้รู้สึกถูกข่มขวัญเช่นเดียวกัน “ดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทาย ในวันนี้พระยาห์เวห์จะทรงมอบท่านไว้ในมือข้า” (1 ซามูเอล 17:45-46) ความไว้วางใจพระเจ้าของดาวิดและความร้อนรนที่เขามีต่อพระเกียรติของพระเจ้านั้นน่าทึ่ง ดาวิดได้ฆ่าโกลิอัท เขาได้เข้าสู่การรับใช้ซาอูลแบบเต็มเวลา และไม่ได้เลี้ยงแกะของพ่ออีกต่อไป

ในเวลานั้นเองที่โยนาธานโอรสของซาอูลได้ “ผูกพันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับดาวิด” (1 ซามูเอล 18:1) มิตรภาพระหว่างดาวิดและโยนาธานเป็นบทเรียนอันดีสำหรับมิตรภาพในปัจจุบันนี้ แม้ว่าพ่อของเขาจะเป็นกษัตริย์และโยนาธานจะเป็นทายาทโดยธรรมชาติของบัลลังก์ แต่โยนาธานเลือกที่จะสนับสนุนดาวิด เขาเข้าใจและยอมรับแผนการของพระเจ้าและปกป้องเพื่อนของเขาจากพ่อที่โหดเหี้ยมของเขา (1 ซามูเอล 18:1-4, 19-20) โยนาธานแสดงให้เห็นถึงความถ่อมตัวและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว (1 ซามูเอล 18:3, 20:17) ในระหว่างที่ดาวิดครองราชย์หลังจากการสิ้นพระชนม์ของซาอูลและโยนาธาน ดาวิดได้ค้นหาผู้ที่ยังเหลืออยู่ในพงศ์พันธุ์ของซาอูลที่จะแสดงความกรุณาเพื่อเห็นแก่โยนาธาน (2 ซามูเอล 9:1) เห็นได้ชัดว่าชายทั้งสองดูแลเอาใจใส่กัน รวมถึงให้เกียรติซึ่งกันและกันอย่างมาก

หลังจากเหตุการณ์ของโกลิอัท ดาวิดยังคงมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น เพลงสวดร้องในค่ายของซาอูลเป็นการเหน็บแนมในขณะที่ผู้คนร้องเพลงสรรเสริญของดาวิดและดูหมิ่นกษัตริย์ซาอูล ซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉาอย่างรุนแรงในตัวซาอูลที่ไม่เคยลดลงเลย (1 ซามูเอล 18:7-8)

ความอิจฉาของซาอูลที่มีต่อดาวิดส่งผลให้เขาเกิดความคิดในการฆาตกรรม ในครั้งแรกเขาพยายามฆ่าดาวิดด้วยมือของคนฟิลิสเตียโดยการขอให้ดาวิดเป็นลูกเขยของเขา กษัตริย์ยกราชธิดาของเขาให้เป็นการตอบแทนที่ดาวิดรับใช้ในกองทัพ แต่ดาวิดปฏิเสธด้วยความนอบน้อม แล้วราชธิดาของซาอูลก็ถูกยกให้กับคนอื่น (1 ซามูเอล 18:17-19) ราชธิดาอีกคนของซาอูลคือมีคาลนั้นหลงรักดาวิด ดังนั้นซาอูลเลยถามอีกครั้ง ดาวิดปฏิเสธอีกครั้งเนื่องจากตนไม่ได้มีความมั่งคั่งและไม่มีความสามารถพอที่จะจ่ายราคาให้กับเจ้าสาวซึ่งเป็นราชธิดาของกษัตริย์ได้ ซาอูลขอหนังหุ้มปลายองค์ชาติของชายฟิลิสเตียหนึ่งร้อยอัน ด้วยการหวังว่าดาวิดจะถูกศัตรูฆ่าตายอย่างทรมาน เมื่อดาวิดฆ่าคนฟิลิสเตียสองร้อยคนโดยการให้สิ่งที่ซาอูลขอเป็นสองเท่า ซาอูลก็รู้ว่าดาวิดได้เปรียบ และความกลัวในตัวของดาวิดสำหรับซาอูลก็เพิ่มขึ้น (1 ซามูเอล 18:17-29) โยนาธานและมีคาลเตือนดาวิดถึงเจตนาที่จะฆ่าของพ่อ และดาวิดใช้ชีวิตหลายปีต่อจากนี้ในการหนีจากกษัตริย์ ดาวิดเขียนเพลงหลายเพลงในช่วงเวลานี้ รวมถึงพระธรรมสดุดีบทที่ 57, 59 และ 142

แม้ว่าซาอูลไม่เคยหยุดไล่ตามเขาด้วยความตั้งใจว่าจะฆ่าเขา ดาวิดไม่เคยใช้กำลังกับกษัตริย์ของเขาและผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้ง (1 ซามูเอล 19:1-2, 24:5-7) เมื่อซาอูลสิ้นพระชนม์ในที่สุด ดาวิดก็เศร้าโศกเสียใจ (พระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 1) แม้จะรู้ว่าเป็นการทรงเจิมตั้งจากพระเจ้า ดาวิดก็ไม่ได้บังคับตัวเองให้เข้าสู่ทางที่จะไปยังบัลลังก์ เขาเคารพความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าและให้เกียรติผู้มีอำนาจที่พระเจ้าได้แต่งตั้งไว้แล้ว โดยการไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จตามเวลาของพระองค์

ในระหว่างการหลบหนีนั้นดาวิดได้จัดตั้งกองทัพที่แข็งแกร่งและด้วยฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้าทำให้เขาสามารถเอาชนะทุกคนในเส้นทางที่เขาไป โดยการขอการอนุญาตและคำแนะนำจากพระเจ้าเสมอเมื่อจะเข้าสู่การต่อสู้ซึ่งเป็นการฝึกฝนเพื่อที่เขาจะเป็นกษัตริย์ต่อไป (1 ซามูเอล 23:2-6, 9-13, 2 ซามูเอล 5:22-23) เมื่อได้เป็นกษัตริย์ ดาวิดเป็นยังคงเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารและเป็นทหารที่มีฤทธิ์อำนาจ พระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 23 เล่าเรื่องการกระทำที่กล้าหาญของ “ยอดนักรบ” ของดาวิดบางประการ พระเจ้าทรงให้เกียรติและให้รางวัลเนื่องจากการเชื่อฟังของดาวิดและให้เขาประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ (2 ซามูเอล 8:6)

ดาวิดเริ่มมีภรรยาอื่นๆ เขาแต่งงานกับอาบีกายิลซึ่งเป็นแม่หม้ายจากคารเมลระหว่างช่วงเวลาที่เขาหนีจากซาอูล (พระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 25) ดาวิดก็ได้แต่งงานกับอาหิโนอัมจากยิสเรเอล ซาอูลได้ยกมีคาลภรรยาคนแรกของดาวิดให้แก่ชายคนอื่น (1 ซามูเอล 25:43-44) หลังจากการสิ้นพระชนม์ของซาอูลนั้นดาวิดก็ได้รับการแต่งตั้งต่อหน้าสาธารณะให้เป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ (2 ซามูเอล 2:4) และเขาต้องต่อสู้กับพงศ์พันธุ์ของซาอูลก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งหมดเมื่อเขาอายุสามสิบปี (2 ซามูเอล 5:3-4) ตอนนี้กษัตริย์ดาวิดได้นำมีคาลกลับมาเป็นภรรยาอีกครั้ง (2 ซามูเอล 3:14) ดาวิดยึดกรุงเยรูซาเล็มเช่นเดียวกัน โดยการนำมันมาจากชาวเยบุส และมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่สถิตอยู่กับเขา (2 ซามูเอล 5:7)

ก่อนหน้านี้หีบพันธสัญญาถูกเอาไปโดยชาวฟิลิสเตีย (พระธรรม 1 ซามูเอลบทที่ 4) ก่อนที่จะกลับไปถึงอิสราเอล หีบนั้นมีการนำไปไว้ที่คีริยาทเยอาริม (1 ซามูเอล 7:1) ดาวิดอยากนำหีบนั้นกลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม แต่ดาวิดละเลยคำแนะนำบางประการของพระเจ้าเกี่ยวกับวิธีการขนย้ายหีบและใครเป็นผู้หาม สิ่งนี้ส่งผลให้อุสซาห์เสียชีวิต ซึ่งระหว่างการเฉลิมฉลองเขาได้เอื้อมมือเข้าไปช่วยประคองหีบ พระเจ้าโจมตีอุสซาห์ให้ล้มลงแล้วเขาก็ตายอยู่ที่ข้างหีบ (2 ซามูเอล 6:1-7) ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า ดาวิดจึงละทิ้งการขนย้ายหีบและปล่อยให้มันอยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดม (2 ซามูเอล 6:11)

สามเดือนต่อมาดาวิดกลับมาดำเนินแผนการนำหีบกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง ครั้งนี้เขาทำตามคำแนะนำ เขาก็ “เต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์” เช่นเดียวกัน (2 ซามูเอล 6:14) เมื่อมีคาลเห็นดาวิดนมัสการด้วยวิธีนี้ “นางก็ดูหมิ่นดาวิดในใจ” (2 ซามูเอล 6:16) เธอถามดาวิดว่าเขาในฐานะกษัตริย์ทำไมถึงไม่แยกตัวเองออกเมื่ออยู่ต่อหน้าประชากรของพระองค์ “ดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า เป็นสิ่งที่ทำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ เพื่อทรงแต่งตั้งให้เราเป็นผู้นำเหนือประชากรของพระยาห์เวห์ เหนืออิสราเอล เราจึงเริงโลดเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เราจะยอมถูกดูหมิ่นยิ่งกว่านี้ และเราจะเป็นคนต่ำต้อยในสายตาเรา” (2 ซามูเอล 6:21-22) ดาวิดเข้าใจว่าการนมัสการที่แท้จริงนั้นมีไว้สำหรับพระเจ้าเพียงผู้เดียว เราไม่ได้นมัสการเพื่อประโยชน์ของการตระหนักรู้ของผู้อื่นแต่ด้วยการตอบสนองที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า (ยอห์น 4:24)

หลังจากที่ดาวิดลงหลักปักฐานในพระราชวังของเขาและสงบศึกกับศัตรูของเขา เขาอยากจะสร้างพระวิหารสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า (2 ซามูเอล 7:1-2) ผู้เผยพระวจนะนาธันบอกดาวิดให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการก่อน แต่เมื่อพระเจ้าบอกนาธันว่าดาวิดจะไม่ได้เป็นผู้ที่สร้างพระวิหารของพระองค์ ในทางกลับกันพระเจ้าทรงสัญญาที่จะสร้างบ้านให้ดาวิด พระสัญญานี้รวมถึงการพยากรณ์ว่าซาโลมอนจะสร้างพระวิหารด้วย และยังเป็นการกล่าวถึงการมาของพระเมสสิยาห์ บุตรของดาวิดผู้ซึ่งจะครองราชย์อยู่ตลอดไป (2 ซามูเอล 7:4-17) ดาวิดตอบสนองด้วยความถ่อมใจและความเกรงขามคือ “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ข้าพระองค์เป็นใครเล่าและพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นใคร พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลขนาดนี้?” (2 ซามูเอล 7:18, ดู 2 ซามูเอล 7:19-29 สำหรับคำอธิษฐานทั้งหมดของดาวิด) ก่อนที่เขาจะตาย ดาวิดได้เตรียมความพร้อมสำรับการสร้างพระวิหาร สาเหตุที่พระเจ้าไม่อนุญาตให้ดาวิดสร้างพระวิหารคือเพราะว่าเขาได้ทำให้เกิดการนองเลือดมากมาย แต่บุตรของดาวิดจะเป็นบุคคลแห่งสันติภาพไม่ใช่บุคคลแห่งสงคราม ซาโลมอนจะเป็นผู้สร้างพระวิหาร (พระธรรม 1 พงศาวดารบทที่ 22)

การทำให้นองเลือดของดาวิดส่วนใหญ่เป็นผลมาจากสงคราม แต่ในเหตุการณ์เลวร้าย ดาวิดยังได้สังหารหนึ่งในยอดนักรบของเขาด้วย แม้ว่าดาวิดจะเป็นผู้ชายที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์และทำบาป ขณะที่กองทัพของเขากำลังทำสงครามในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง ดาวิดอยู่ที่บ้าน จากดาดฟ้าของบ้านเขาเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ เขารู้ว่าเธอคือบัทเชบาซึ่งเป็นภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์ หนึ่งในยอดนักรบของดาวิดที่ไปทำสงคราม และดาวิดส่งผู้สื่อสารออกไปหาเธอ ดาวิดนอนกับบัทเชบาแล้วเธอก็ตั้งท้อง ดาวิดเรียกอุรีอาห์กลับจากการต่อสู้ โดยที่หวังว่าเขาจะนอนกับภรรยาและเชื่อว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของเขา แต่อุรีอาห์ปฏิเสธที่จะกลับบ้านเมื่อเพื่อนคู่หูของเขาอยู่ในสงคราม ดาวิดเลยวางแผนให้อุรีอาห์ถูกฆ่าตายระหว่างการต่อสู้ จากนั้นดาวิดก็แต่งงานกับบัทเชบา (พระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 11) เหตุการณ์นี้ในชีวิตของดาวิดแสดงให้เราเห็นว่าทุกคน แม้กระทั่งคนที่เรายกย่องเป็นอย่างมากก็ต่อสู้ดิ้นรนกับบาป นอกจากนี้มันเป็นเรื่องราวที่คอยเตือนเราเกี่ยวกับการล่อลวงและวิธีที่ความบาปจะทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผู้เผยพระวจนะนาธันเผชิญหน้ากับดาวิดเกี่ยวกับบาปของเขาเรื่องบัทเชบา ดาวิดตอบสนองด้วยการสำนึกผิด เขาเขียนพระธรรมสดุดีบทที่ 15 ในเวลานี้ ตรงนี้เราเห็นถึงความถ่อมใจของดาวิดและหัวใจที่แท้จริงของเขาเพื่อพระเจ้า แม้ว่านาธันจะบอกดาวิดว่าลูกชายของเขาจะตายเพราะเป็นผลของความบาป ดาวิดร้องขอกับองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับชีวิตของลูกชาย ความสัมพันธ์ของดาวิดกับพระเจ้าเป็นอะไรซึ่งเขาหวังใจที่จะยึดมั่นในความเชื่อในความหวังที่พระเจ้าจะทรงให้อภัย เมื่อพระเจ้าบัญญัติการตัดสินของพระองค์ ดาวิดยอมรับอย่างสิ้นเชิง (พระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 12) ในเรื่องนี้เราเห็นพระคุณและความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าเช่นเดียวกัน ซาโลมอนบุตรของดาวิดผู้ซึ่งรับช่วงต่อจากเขาและผ่านทางเขาที่พระเยซูสืบเชื้อสายมานั้นเกิดจากดาวิดและบัทเชบา

พระเจ้าทรงตรัสกับดาวิดผ่านทางนาธันว่าดาบจะไม่พรากไปจากบ้านของเขา อันที่จริงครอบครัวของดาวิดมีปัญหามากตั้งแต่ตอนนั้น เราเห็นสิ่งนี้ในท่ามกลางลูกๆ ของดาวิดเมื่ออัมโนนข่มขืนทามาร์ นำไปสู่การที่อับซาโลมฆ่าอัมโนน และการที่อับซาโลมกบฏต่อดาวิด นาธันได้บอกดาวิดว่าบรรดาภรรยาของเขาจะถูกยกให้กับคนที่ใกล้ชิดกับเขา สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างลับๆ เช่นเดียวกับการทำบาปของดาวิดต่อบัทเชบา แต่จะเกิดขึ้นในที่สาธารณะ การพยากรณ์นั้นสำเร็จเมื่ออับซาโลมนอนกับภรรยานอกสมรสของบิดาบนหลังคาบ้านเพื่อให้ทุกคนได้เห็น (พระธรรม 2 ซามูเอลบทที่ 16)

ดาวิดเป็นผู้เขียนพระธรรมสดุดีหลายบท ในบทเหล่านี้เราเห็นวิธีการที่เขาแสวงหาและถวายเกียรติแด่พระเจ้า มักจะมีการมองเขาว่าเป็นกษัตริย์ผู้เลี้ยงและกวีนักรบ พระคัมภีร์เรียกเขาว่า “นักแต่งเพลงสดุดีอันไพเราะของอิสราเอล” (2 ซามูเอล 23:1) ชีวิตของดาวิดดูเหมือนว่าเต็มไปด้วยการผันแปรในด้านอารมณ์ของมนุษย์คือ จากเด็กเลี้ยงแกะธรรมดาๆ ที่มีความมั่นใจอย่างมากในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ผู้ซึ่งให้เกียรติผู้มีอำนาจ หนีเอาชีวิตรอด และกลายมาเป็นกษัตริย์ที่กษัตริย์ทุกพระองค์ในอิสราเอลต้องมาเทียบเคียง เขาได้เห็นชัยชนะทางการทหารอย่างมากมาย เขาตกลงอยู่ในบาปอย่างรุนแรง และครอบครัวของเขาก็ทุกข์ทรมานอันเป็นผลมาจากความบาปของเขา แต่ท่ามกลางทั้งหมดนี้ดาวิดกลับหันไปหาพระเจ้าและไว้วางใจพระองค์ แม้แต่ในพระธรรมสดุดีเมื่อดาวิดหดหู่ใจหรือสิ้นหวัง เราจะเห็นเขามองไปที่พระผู้สร้างของเขาและสรรเสริญพระองค์ การพึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดาวิดเป็นผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า

พระเจ้าทรงสัญญากับดาวิดว่าจะมีผู้สืบสกุลที่ครองบัลลังก์ตลอดไป กษัตริย์ที่จะอยู่ตลอดไปคือพระเยซู พระเมสสิยาห์ และเป็นบุตรของดาวิด

English



กลับสู่หน้าภาษาไทย

เราสามารถเรียนรู้อะไรจากชีวิตของดาวิด
แบ่งปันหน้านี้: Facebook icon Twitter icon Pinterest icon Email icon
© Copyright Got Questions Ministries