อะไรคือเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิม?
คำตอบ
ตั้งแต่เริ่มแรก พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แล้ว เพื่อความพอใจอันประเสริฐของพระองค์เอง พระเจ้าสร้างเวลาและจักรวาลโดยฤทธิ์อำนาจจากคำพูดของพระองค์ ทำให้การไม่มีอะไรเลยกลายเป็นบางสิ่งบางอย่าง ในวันที่หกของการทรงสร้าง พระเจ้าได้สร้างสิ่งที่พิเศษคือมนุษยชาติ ผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งได้รับการสร้างให้เหมือนกับพระองค์ ในขณะที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์สองคนแรกเป็นเพศชายและเพศหญิง พระองค์ได้เริ่มต้นพันธสัญญาการแต่งงาน (ปฐมกาล 1 – 2)
พระเจ้าให้ผู้ชายและภรรยาอยู่ในสวนเอเดน เป็นสถานที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ดีและให้พวกเขามีความรับผิดชอบในการดูแลสวน พระเจ้าอนุญาตให้พวกเขากินผลไม้จากต้นไม้ทุกต้นยกเว้นตนเดียวคือต้นไม้แห่งความสำนึกในความดีและความชั่วเป็นต้นไม้ต้องห้ามสำหรับพวกเขา พวกเขามีทางเลือกคือเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง แต่พระเจ้าเตือนพวกเขาว่าความตายจะเป็นคำตอบของการไม่เชื่อฟัง (ปฐมกาล 2:15 – 17)
ในขณะที่ทูตสวรรค์ซึ่งทรงพลังชื่อลูซิเฟอร์กบฏต่อพระเจ้าในสวรรค์ เขาและหนึ่งในสามของจำนวนทูตสวรรค์ถูกไล่ออกจากสวรรค์ ลูซิเฟอร์เข้ามาที่สวนซึ่งผู้ชายและภรรยาของเขาอยู่ ที่นั่นเขาได้แปลงกายเป็นงูและล่อลวงเอวาซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้าโดยการกินผลไม้ต้องห้าม เขาบอกเธอว่าเธอจะไม่ตายและผลไม้นั้นดีต่อเธอ เธอเชื่อคำโกหกเหล่านั้นและกินผลไม้นั้นเข้าไป แล้วเธอก็เอาผลไม้นั้นให้แก่สามีของเธอคืออาดัมแล้วเขาก็กินผลไม้นั้นเข้าไปด้วย ในทันทีทันใดทั้งคู่รู้ว่าพวกเขาได้ทำผิด พวกเขารู้สึกละอายใจ อ่อนแอและถูกเปิดเผย เมื่อพระเจ้ามาตามหาพวกเขา พวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่ (อิสยาห์ 14:12 – 15, ปฐมกาล 3) แน่นอนว่าพระเจ้าหาพวกเขาเจอ มีการตัดสินและการพิพากษา พื้นดินถูกสาปแช่งเพื่อจุดมุ่งหมายสำหรับมนุษย์ มันจะไม่นำมาซึ่งผลไม้อย่างง่ายๆ ในทางตรงกันข้ามมนุษย์จะต้องตรากตรำเพื่อที่จะทำให้พื้นดินเกิดผล ผู้หญิงถูกสาปแช่งให้มีความเจ็บปวดเมื่อคลอดบุตร งูถูกสาปแช่งให้เลื้อยไปบนพื้นดินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วพระเจ้าได้ทรงสัญญาว่าวันหนึ่งจะมีคนหนึ่งเกิดมาจากผู้หญิงคนนั้นเขาจะต่อสู้กับงู คนคนนี้จะทำให้หัวของงูแหลก ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บในระหว่างนั้น จากนั้นพระเจ้าก็ฆ่าสัตว์และทำสิ่งปกคลุมร่างกายด้วยหนังสัตว์ให้แก่ทั้งคู่ที่มีความบาปก่อนที่พระองค์จะขับไล่เขาออกจากสวนเอเดน (ปฐมกาล 3:15 – 19, 21)
การต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่วดำเนินต่อไปในครอบครัวของคู่สมรสคู่แรก หนึ่งในบุตรของเขาคือคาอิน ฆ่าน้องชายของตัวเองซึ่งก็คืออาแบลและถูกแช่งสาปในสิ่งที่เขาได้ทำ มีเด็กอีกคนหนึ่งเกิดกับผู้หญิงคนแรก ชื่อของเขาคือเสท (ปฐมกาล 4:8, 25)
คนรุ่นต่อๆ มาโลกนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ความรุนแรงและการไม่สนใจในพระเจ้านั้นเกิดขึ้นอย่างรุนแรง พระเจ้าตกลงใจที่จะทำลายความชั่วร้ายของมนุษย์และเริ่มใหม่อีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งชื่อโนอาห์เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเสท โนอาห์ได้รับพระคุณของพระเจ้า (การอวยพรจากพระเจ้าสำหรับผู้ที่ไม่สมควรได้รับ) พระเจ้าเปิดเผยแก่โนอาห์ว่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่เพื่อทำลายโลกแลพระองค์ทรงให้คำแนะนำแก่โนอาห์ในการต่อนาวา (เรือขนาดใหญ่) เพื่อที่จะรอดจากน้ำท่วม โนอาห์สร้างนาวาและเมื่อถึงเวลาพระเจ้าทำให้สัตว์แต่ละชนิดเข้าไปอยู่ในนาวา สัตว์เหล่านี้พร้อมกับครอวครัวของโนอาห์ซึ่งพระเจ้าได้สงวนไว้ น้ำที่ท่วมนั้นทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกทั้งหมด (ปฐมกาล 6 – 8)
หลักจากน้ำท่วมโนอาห์และครอบครัวเริ่มกระจายออกไปรอบโลกอีกครั้ง เมื่อลูกหลานของพวกเขาเริ่มสร้างหอคอยเพื่อตัวพวกเขาเองโดยการไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าทำให้ภาษาของพวกเขาวุ่นวาย ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกกระจายออกไปตามกลุ่มภาษาของพวกเขาและกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดินโลก (ปฐมกาล 11:1 – 8)
เวลาที่พระเจ้าจะเริ่มแนะนำผู้ที่จะทำให้หัวงูแหลกก็มาถึง ขั้นแรกคือการสร้างกลุ่มคนต่างหากเพื่อพระองค์เอง พระองค์เลือกผู้ชายคนหนึ่งชื่ออับราฮัมและภรรยาของเขาซาราห์เพื่อเริ่มต้นมนุษยชาติครั้งใหม่ พระเจ้าเรียกอับราฮัมให้ไปไกลจากบ้านของเขาและนำเขาไปยังแผ่นดินคานาอัน พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมเกี่ยวกับลูกหลานที่นับไม่ถ้วนของเขาผู้ซึ่งจะเป็นเจ้าของดินแดนคานาอันด้วยตัวเอง พระเจ้าสัญญาเช่นเดียวกันว่าจะอวยพรเมล็ดพันธุ์ของอับราฮัมแล้วผ่านทางเมล็ดพันธุ์นั้น ทุกชาติพันธุ์ทั่วโลกจะได้รับพระพร ปัญหาคืออับราฮัมและซาราห์นั้นอายุมากแล้วและซาราห์เป็นหมัน แต่อับราฮัมเชื่อพระสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าก็นับว่าความเชื่อของอับราฮัมนั้นชอบธรรม (ปฐมกาล 12:1 – 4, 15:6)
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพระเจ้าอวยพรอับราฮัมกับซาราห์ด้วยบุตรชายคืออิสอัค พระเจ้าย้ำเตือนถึงพระสัญญาของพระองค์ที่จะประทานลูกหลานให้เขาอย่างมากมายและจะอวยพรอิสอัค อิสอัคมีบุตรเป็นฝาแฝดชื่อเอซาวและยาโคบ พระเจ้าเลือกยาโคบที่จะสืบเชื้อสายตามพระสัญญาที่จะอวยพรและเปลี่ยนชื่อของเขาเป็นอิสราเอล ยาโคบหรืออิสราเอลมีบุตรสิบสองคน ผู้ซึ่งกลายมาเป็นหัวหน้าผ่าสิบสองเผ่าของอิสราเอล (ปฐมกาล 21:1 -6, 25:19 – 26, 28:10 – 15, 35:13 – 26)
ตามที่มีการกันดารอาหารอย่างรุนแรงยาโคบย้ายทั้งครอบครั้งของเขาจากคานาอันไปที่อียิปต์ ก่อนที่เขาจะตาย ยาโคบได้อวยพรด้วยคำพยากรณ์แก่ลูกทั้งสองของเขา แก่ยูดาเขาสัญญาว่าจะมีกษัตริย์ท่ามกลางลูกหลานของเขา คนคนหนึ่งจะได้รับเกียรติจากทุกประชาชาติในโลก ครอบครัวของยาโคบขยายจำนวนขึ้นที่อียิปต์และพวกเขาก็อยู่ที่นั่นอีก 400 ปี จากนั้นกษัตริย์ของอียิปต์กลัวว่าลูกหลานของอิสราเอลจะมีจำนวนมากเกินที่จะควบคุมได้ ก็เลยให้พวกเขาเป็นทาส พระเจ้าได้ยกชูผู้เผยพระวจนะที่ชื่อว่าโมเสสจากเผ่าเลวีเพื่อที่จะนำประชากรอิสราเอลออกจากอียิปต์และกลับไปยังแผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้กับอับรมฮัม (ปฐมกาล 46, 49, อพยพ 1:8 – 14, 3:7 – 10)
การอพยพออกจากอียิปต์นั้นเกิดขึ้นพร้อมกับการอัศจรรย์หลายอย่างรวมถึงการแยกทะเลแดง เมื่อออกจากอียิปต์ได้อย่างปลอดภัย บุตรทั้งหลายของอิสราเอลพักแรมที่ภูเขาซีนายเป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าประทานกฎหมายให้แก่โมเสส กฎหมายนี้ถูกสรุปมาเป็นบัญญัติสิบประการ เป็นพื้นฐานของข้อตกลงที่พระเจ้าให้ไว้กับอิสราเอลคือว่า ถ้าพวกเขารักษาพระบัญญัติของพระองค์พวกเขาจะได้รับการอวยพร แต่ถ้าพวกเขาทำผิดพระบัญญัติพวกเขาจะทนทุกข์ทรมานกับคำแช่งสาป ชาวอิสราเอลตกลงที่จะทำตามกฎหมาของพระเจ้า (อพยพ 7 – 11, 14:21 – 22, 19 – 20)
รวมไปถึงการจัดตั้งประมวลกฎหมาย กฎหมายนั้นกำหนดบทบาทของปุโรหิตและกำหนดให้มีการถวายเครื่องบูชาไถ่บาป การไถ่บาปนั้นจะกระทำได้โดยการหลั่งเลือดของเครื่องบูชาที่ไร้ตำหนิเท่านั้น กฎหมายนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพลับพลาหรือเต็นท์บริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่และเป็นที่ที่พระองค์จะพบกับประชากรของพระองค์ (เลวีนิติ 1 อพยพ 25:8 – 9)
หลังจากได้รับกฎหมาย โมเสสนำชนชาติอิสราเอลไปยังชายแดนของดินแดนพันธสัญญา แต่ผู้คนกลัวชาวคานาอันที่เหมือนจะทำสงครามและสงสัยในพระสัญญาของพระเจ้านั้นปฏิเสธที่จะเข้าไป ในการลงโทษ พระเจ้าพาพวกเขากลับไปยังถิ่นทุรกันดาร พวกเขาถูกบังคับให้วนเวียนอยู่ในนั้นเป็นเวลา 40 ปี ในพระคุณของพระองค์พระเจ้าประทานอาหารและน้ำสำหรับประชากรจำนวนมากมายมหาศาลนั้นอย่างอัศจรรย์ (กันดารวิถี 14:1 – 4, อพยพ 16:35)
ในช่วงท้ายของ 40 ปีโมเสสเสียชีวิต การพยากรณ์ครั้งสุดท้ายของเขานั้นเกี่ยวข้องกับการมาของผู้เผยพระวจนะอีกท่าหนึ่งผู้ซึ่งจะเป็นเหมือนโมเสสและเป็นผู้ที่ประชากรนั้นต้องเชื่อฟัง ผู้รับช่วงต่อจากโมเสสคือโยชูวาซึ่งพระเจ้าได้ใช้เขาให้นำคนอิสราเอลเข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา พวกเขาไปด้วยพระสัญญาของพระเจ้าที่ว่าไม่มีศัตรูสักคนเดียวที่จะสามารถต่อต้านพวกเขาได้ พระเจ้าแสดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่เมืองเยรีโค ครั้งแรกที่พวกเขาเผชิญหน้าด้วยการทำให้กำแพงของเมืองนั้นพังลงราบเป็นหน้ากลอง ในพระคุณและพระเมตตาของพระองค์ พระเจ้าได้สงวนโสเภณีที่มีความเชื่อคนหนึ่งชื่อราหับไว้จากการทำลายเมืองเยรีโค (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:5, โยชูวา 6)
สองสามปีต่อมาโยชูวาและชาวอิสราเอลประสบความสำเร็จในการขับไล่ชาวคานาอันส่วนมากออกไปและแผ่นดินถูกแบ่งแยกตามสิบสองเผ่า อย่างไรก็ตามการพิชิตดินแดนนั้นยังไม่เสร็จ ผ่านทางการขาดความเชื่อและการไม่เชื่อฟังเพียงเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาพลาดที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ ประชากรจำนวนเล็กน้อยมากของชาวคานาอันยังคงอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น อิทธิพลของพวกนอกศาสนาเหล่านี้เริ่มมีผลกับชนชาติอิสราเอลผู้ซึ่งหันมานมัสการรูปเคารพซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎของพระเจ้าโดยตรง (โยชูวา 15:63, 16:10, 18:1)
หลังจากการตายของโยชูวาชนชาติอิสราเอลได้รับประสบการณ์ในความสับสนวุ่นวาย ชนชาตินี้จะตกลงสู่การบูชารูปเคารพและพระเจ้าจะนำการพิพากษามาในรูปแบบของการให้เป็นทาสของศัตรู คนของพระเจ้าจะสำนึกผิดและเรียกหาพระเจ้าให้ช่วย จากนั้นพระเจ้าจะกระทำให้มีผู้วินิจฉัย เพื่อที่จะทำลายรูปเคารพทั้งหลาย รวบรวมประชากรแล้วทำลายศัตรู ความสงบสุขจะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่งคราวแต่หลังจากการตายของผู้วินิจฉัย ประชากรก็จะกลับไปสู่การนมัสการรูปเคารพอยู่เสมอๆ และวัฏจักรนี้ก็เกิดขึ้นวนไปวนมา (ผู้วินิจฉัย 17:6)
ผู้วินิจฉัยคนสุกท้ายคือซาโลมอนผู้ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาของเขาชาวอิสราเอลเรียกร้องให้มีกษัตริย์ที่จะปกครองพวกเขา เพื่อที่จะเป็นเหมือนกับชนชาติอื่นๆ พระเจ้าทรงบัญชาตามคำขอของพวกเขาและซามูเอลได้แต่งตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรก อย่างไรก็ตามซาอูลก็ไม่เป็นที่พอใจ เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าและถูกกำจัดออกจากอำนาจ พระเจ้าเลือกดาวิดจากเผ่ายูดาเพื่อที่จะรับช่วงเป็นกษัตริย์ต่อจากซาอูล พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่าจะประทานลูกหลานผู้สืบเชื้อสายของเขาคนหนึ่งที่จะนั่งบนบัลลังก์ตลอดไป (1 ซามูเอล 8:5, 15:1, 26, 1 พงศาวดาร 7:11 – 14)
บุตรของดาวิดคือซาโลมอนปกครองอยู่เหนือกรุงเยรูซาเล็มหลังจากที่ดาวิดเสียชีวิต ช่วงเวลาแห่งการปกครองของบุตรของซาโลมอน เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นและอาณาจักรถูกแบ่งออก อาณาจัรส่วนเหนือมีชื่อว่าอิสราเอลและอาณาจักรส่วนใต้มีชื่อว่ายูดา ราชวงศ์ของดาวิดปกครองยูดา (1 พงศ์กษัตริย์ 2:1, 12)
อาณาจักรอิสราเอลมีกษัตริย์ที่ทำการชั่วร้ายอย่างไม่ขาดตอน ไม่มีพระองค์ใดเลยที่แสวงหาพระเจ้าหรือมีความพยายามที่จะนำชนชาติตามกฎหมายของพระเจ้า พระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะไปเตือนพวกเขา รวมถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ผ่านทางเอลียาห์และเอลีชาแต่กษัตริย์เหล่านั้นยังคงยืนหยัดในความชั่วร้ายของพวกเขา ในที่สุดพระเจ้านำชนชาติอัสซีเรียมาเหนือชนชาติอิสราเอลเป็นการพิพากษา ชาวอัสซีเรียได้ขับไล่ชาวอิสราเอลส่วนมากออกไปและนั่นคือจุดจบของอาณาจักรส่วนเหนือ (1 พงศ์กษัตริย์ 17:1, 2 พงศ์กษัตริย์ 2, 17)
อาณาจักรยูดามีส่วนของกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่โซ่ตรวนนั้นถูกทำลายโดยกษัตริย์ที่ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นระยะๆ ผู้ที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงและแสวงหาการปกครองตามกฎหมาย พระเจ้าสัตย์ซื่อกับพระสัญญาของพระองค์และอวยพรประชากรเมื่อพวกเขาทำตามพระบัญญัติของพระองค์ ชนชาตินี้ได้รับการคุ้มครองขณะที่มีการบุรุกของชาวอัสซีเรียและพวกเขาก็สามารถต้านทานการคุกคามอื่นๆ อีกมากมาย ในช่วงเวลานี้ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เทศนาต่อต้านความบาปของยูดาและมองเห็นล่วงหน้าถึงการบุรุกของชาวบาบิโลน อิสยาห์ได้พยากรณ์เกี่ยวกับการมาของผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะทนทุกข์ทรมานเพื่อบาปของประชากรของพระองค์และได้รับการเชิดชูและนั่งบนพระที่นั่งของดาวิด ผู้เผยพระวจนะมีคาห์พยากรณ์ว่าผู้ที่ได้สัญญาไว้นั้นจะเกิดที่เบธเลเฮม (อิสยาห์ 37, 53:5, มีคาห์ 5:2)
ในที่สุดชนชาติยูดาก็ตกลงในการนมัสการรูปเคารพที่น่าเกลียดชัง พระเจ้านำชนชาติบาบิโลนมาต่อสู้กับยูดาเป็นการพิพากษา ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้รับประสบการณ์ในการล้มลงในความบาปของกรุงเยรูซาเล็มและพยากรณ์ว่าเชลยชาวยิวในบาบิโลนจะกลับไปยังดินแดนพันธสัญญาหลังจาก 70 ปี เยเรมีย์เผยพระวจนะเกี่ยวกับบัญญัติในอนาคตซึ่งกฎหมายนั้นไม่ได้เขียนไว้บนแผ่นศิลแต่จะเขียนไว้ในใจของมนุษย์ บัญญัติใหม่นั้นจะเป็นคำตอบของการที่พระเจ้าอภัยบาป (2 พงศ์กษัตริย์ 25:8 – 10, เยเรมีย์ 29:10, 31:31 – 34)
การเป็นเชลยในบาบิโลนดำเนินไปเป็นเวลา 70 ปี ผู้เผยพระวจนะดาเนีลและเอเสเคียลช่วยเหลืออยู่ในเวลานั้น ดาเนียลพยากรณ์การเกิดขึ้นและการล้มลงของหลายๆ ชนชาติ เขาได้พยากรณ์อีกถึงการมาของพระเมสสิยาห์หรือผู้ที่ได้รับเลือกซึ่งจะถูกฆ่าเพื่อเห็นแก่ผู้อื่น (ดาเนียล 2:36 – 45, 9:26)
หลังจากที่บาบิโลนตกไปเป็นของเปอร์เซีย ชาวยิวถูกปล่อยให้กลับไปยังยูดา ชาวยิวหลายคนกลับบ้านเพื่อไปสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่และพระวิหาร เนหะมีย์และเอสรานำด้วยความบากบั่นโดยการหนุนใจจากผู้เผยพระวจนะฮักกัยและเศคาริยห์ หนึ่งในการพยากรณ์ของเศคาริยาห์รวมไปถึงการอธิบายถึงกษัตริย์ในอนาคตผู้ที่จะมาที่เยรูซาเล็มด้วยใจถ่อม โดยการทรงลา (เนหะมีย์ 6:15 – 16, เศคาริยาห์ 9:9)
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าชาวยิวทุกคนที่กลับไปยังยูดา บางคนเลือกที่จะอยู่ที่เปอร์เซีย ซึ่งพระเจ้าก็คอยดูแลพวกเขา หญิงชาวยิวชื่อเอสเธอร์ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นพระราชินีแห่งเปอร์เซียและเป็นเครื่องมือที่ช่วยชีวิตชาวยิวทั้งหมดในอาณาจักรนั้น (เอสเธอร์ 8:1)
มาลาคีเขียนพระธรรมเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เขาเผยพระวจนะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์แต่ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมานั้นผู้ส่งสารอีกคนจะเตรียมทางไว้ให้องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ส่งสารคนนี้จะเป็นเหมือนกับเอลียาห์เมื่อนานมาแล้ว หลังจากการเผยพระวจนะของมาลาคี เป็นเวลาอีก 400 ปีก่อนที่พระเจ้าจะพูดกับมนุษย์โดยตรงอีกครั้งหนึ่ง (มาลาคี 3:1, 4:5)
เรื่องราวของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมเป็นเรื่องแผนการของพระเจ้าที่จะนำการไถ่บาปมาสู่มนุษย์ เมื่อเวลาใกล้จะสิ้นสุดของพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระเจ้าได้เลือกคนที่เฉพาะเจาะจงผู้ที่เข้าใจความสำคัญของการถวายเครื่องบูชาซึ่งก็คือเลือด ผู้ที่เชื่อพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับอับราฮัมและดาวิดและผู้ที่รอคอยผู้ไถ่บาป กล่าวสั้นๆ คือพวกเขาพร้อมที่จะรับผู้ที่จะทำให้หัวของงูแหลกในปฐมกาล ผู้เผยพระวจนะเหมือนกับโมเสส การทนทุกข์ทรมานของอิสยาห์ บุตรของดาวิด พระเมสสิยาห์ของดาเนียล กษัตริย์ผู้ถ่อมใจของเศคาริยาห์ทุกอย่างที่จะพบได้ในคนคนเดียวคือพระเยซูคริสต์
English
อะไรคือเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิม?