พระธรรมยอห์น
ผู้เขียน: ยอห์น 21:20-24 “เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระองค์ทรงรักตามมา สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงที่พระทรวงของพระองค์ เมื่อรับประทานอาหารอยู่นั้น และทูลถามว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่จะอายัดพระองค์คือใคร” เมื่อเปโตรเห็นสาวกคน นั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า คนนี้จะเป็นอย่างไร’ พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า เจ้าจงตามเรามาเถิด”เหตุฉะนั้นคำที่ว่า สาวกคนนั้นจะไม่ตายจึงลือไปท่ามกลางพวกพี่น้อง พระเยซูมิได้ตรัสแก่เขาว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่ตรัสว่า ‘ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า’ สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง”
พระธรรมนี้บรรยายว่าผู้เขียนเป็น "สาวกผู้ที่พระเยซูทรงรัก" และด้วยเหตุผลทั้งทางประวัติศาสตร์และภายใน ก็เป็นที่เข้าใจว่าจะเป็นอัครสาวกยอห์น ซึ่งเป็นบุตรชายคนหนึ่งของเศเบดี
ลูกา 5:10 ”ยากอบและยอห์นบุตรของเศเบดีผู้ร่วมงานกับซีโมน ก็ประหลาดใจเหมือนกัน พระเยซูตรัสแก่ซีโมนว่า ‘อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน’”
วันที่เขียน: การค้นพบชิ้นส่วนกระดาษสมัยโบราณประมาณปี ค.ศ.135 บอกว่าพระธรรมนี้อาจจะถูกเขียน คัดลอกและส่งต่อๆ กันไปก่อนเวลานั้น
และในขณะที่บางคนคิดว่ามันถูกเขียนขึ้นก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย (ค.ศ.70) แต่เป็นที่ยอมรับช่วงเวลาแห่งการเขียนคือปี ค.ศ 85-90
จุดประสงค์ของการเขียน: ยอห์น 20:31 “แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์”
สิ่งที่แตกต่างจากพระกิตติคุณทั้งสามเล่มคือ จุดประสงค์ของยอห์นไม่ได้ที่จะนำ เสนอเรื่องราวลำดับเชื้อสายวงศ์ของพระคริสต์ แต่แสดงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ยอห์นไม่เพียงแต่พยายามหาทางเสริมสร้างความเชื่อศรัทธาของคนหลังเช่นเดียวกับก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในคนอื่น ๆ แต่เขาก็พยายามที่จะแก้ไขคำสอนผิดพลาดที่ได้เผย แพร่ออกไป ยอห์นเน้นย้ำว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็น "พระบุตรของพระเจ้า" ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์อย่างเต็มบริบูรณ์ ตรงข้ามกับหลักคำสอนที่ผิดพลาดที่เห็น "พระวิญญาณของพระคริสต์" เสด็จมาเหนือพระเยซูเมื่อทรงรับบัพติศมา และได้ละจากพระองค์ไปตอนที่ถูกตรึงบนกาง เขน
ข้อพระคัมภีร์ที่สำคัญ: ยอห์น 1:1,14 “ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”
ยอห์น 1:29 “วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย”
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของ พระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
ยอห์น 6:29 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า ‘งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา’”
ยอห์น 10:10 “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”
ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้”
ยอห์น 11:25-26 “พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม”
ยอห์น 13:35 “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลาย เป็นสาวกของเรา”
ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”
ยอห์น 14:9 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียง นี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า 'ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น”'
ยอห์น 17:17-18”ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น”
ยอห์น 19:30 “เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์”
ยอห์น 20:29 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
บทสรุปโดยย่อ: พระกิตติคุณยอห์นเลือกการอัศจรรย์เพียงเจ็ดครั้งเป็นสัญญาณเพื่อสำแดงสภาพพระเจ้าของพระคริสต์และแสดงให้เห็นถึงพระราชกิจของพระองค์ สัญญาณเหล่านี้บางอย่างและเรื่องราวมากมายจะพบได้เฉพาะในพระธรรมยอห์น พระธรรมนี้เป็นไปตามหลักศาสนศาสตร์มากที่สุดในพระกิตติคุณทั้งสี่ฉบับ และมักจะให้เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในพระกิตติคุณฉบับอื่น ๆ ท่านบอกเล่างานของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากมายหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ มีบางคำหรือวลีที่ท่านยอห์นมักจะใช้ เพื่อแสดงให้เห็นในสาระสำคัญของพระกิตติ คุณซ้ำแล้วซ้ำอีก ได้แก่ เชื่อ เป็นพยาน พระผู้เล้าโลม ชีวิต – ความตาย แสงสว่าง - ความมืดเราเป็น ... (เหมือนที่พระเยซูว่า “ทรงเป็น") และรัก. พระกิตติคุณยอห์นแนะนำให้รู้จักพระคริสต์ ไม่ใช่จากการบังเกิดของพระองค์ แต่จาก "จุดเริ่มต้น" ที่เป็น "พระคำ" (โลโกส) ผู้ซึ่งตามสภาพที่ทรงเป็นพระเจ้า เข้ามีส่วนเกี่ยวข้องในการทรงสร้างทุกด้าน และผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นมนุษย์ เพื่อที่พระองค์จะทรงชำระบาปของเราให้สะอาดหมดจด เป็นพระเมษโปดกที่ถูกถวายเป็นเครื่องบูชา
ยอห์น 1:1-3 “ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า
พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ”
ยอห์น 1:14 “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”
ยอห์น 1:29 “วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย”
ยอห์นเลือกการสนทนาทางจิตวิญญาณที่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (4:26) และเพื่อที่จะอธิบายว่าคนเราสามารถรอดได้โดยการสละพระชนม์ของพระองค์ บนไม้กางเขน (3: 14-16) ท่านโกรธผู้นำชาวยิวโดยการแก้ไขพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก (2: 13-16); การรักษาโรควันสะบาโต และการยืนยันถึงพระลักษณะที่เป็นของพระเจ้า (5:18; 8: 56-59; 9: 6,16; 10:33)
พระเยซูทรงเตรียมสาวกของพระองค์ไว้พร้อมสำหรับการสิ้นพระชนม์ที่กำลังใกล้มาและงานรับใช้ของพวกเขาหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระองค์ (ยอห์นบทที่ 14-17) จากนั้นพระองค์ก็ทรงเต็มพระทัยที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กาง เขนแทนพวกเรา
ยอห์น 10:15-18 “ดังที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และชีวิตของเรา เราสละเพื่อแกะ แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก คำกำชับนี้ เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา”
พระองค์ทรงชดใช้หนี้บาปแทนพวกเราอย่างครบบริบูรณ์
ยอห์น 19:30 “เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์”
ดังนั้นใครก็ตามที่วางใจในพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็จะรอดจากบาปได้
ยอห์น 3:14-16 “โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์” เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
จากนั้นพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เหล่าสาวกของพระองค์ประจักษ์แจ้ง แม้พวกเขาสงสัยมากที่สุดว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและจอมเจ้านาย ยอห์น 20:24-29 “ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกันว่าแฝด ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา สาวกอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราได้เห็นองค์ พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของ พระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามา ประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสว่า ‘สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด’ แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย จงเชื่อเถิด” โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
การเชื่อมต่อ: การที่ยอห์นทำให้เห็นภาพของพระเยซูเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญาเดิม เราเห็นอย่างเด่นเจนมากที่สุดในคำประกาศของพระเยซูเจ็ดครั้งว่า "เราเป็น" พระองค์ทรงเป็น "อาหารแห่งชีวิต" โดยพระเจ้าผู้ทรงจัดอาหารให้แก่ จิตวิญญาณของคนของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงประทานมานาจาก สวรรค์ที่จะเลี้ยงคนอิสราเอลในถิ่นทุรกัน ดาร
ยอห์น 6:35 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย”
อพยพ 16:11-36 “พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ‘เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่เขาว่า 'ในเวลาโพล้เพล้ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้า เจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระเจ้าของพวกเจ้า' ครั้นถึงเวลาเย็นฝูงนกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างตกรอบค่ายที่พัก เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆ เท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้น ดินในถิ่นทุรกันดารนั้น เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า “นี่อะไรหนอ” เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า ‘นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้า ประทานให้พวก ท่านรับประทาน นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ว่า 'ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน' ชนชาติอิสราเอลก็กระทำตาม บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี โมเสสจึงสั่งว่า “อย่าให้ผู้ใดเก็บเหลือ ไว้จนรุ่งเช้า” แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสส บางคนเก็บส่วนหนึ่งไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอน และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น เขาเก็บกันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้น ก็ละลายไป อยู่มาเมื่อถึงวันที่หก เขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสองโอเมอร์ บรรดาหัวหน้าของชุมนุมชนจึงมารายงานต่อโมเสส โมเสสบอกเขาว่า “พระเจ้าทรงพระบัญชาว่า 'พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงาน เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจงเก็บไว้ จนถึงวันรุ่งขึ้น' เมื่อเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ตามโมเสสสั่ง อาหารนั้นก็มิได้บูดเหม็นเป็นหนอนเลย โมเสสจึงบอกว่า “วันนี้จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตของพระเจ้า วันนี้ท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย จงเก็บหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีเลย” อยู่มาเมื่อวันที่เจ็ด มีบางคนออกไปเก็บ แต่ไม่ได้พบ พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร ดูซิ พระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตให้เจ้าคือในวันที่หก พระองค์จึงประทานอาหารให้พอรับ ประทานสองวัน ให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้น เลย’ เหตุฉะนั้นประชาชนทั้งปวงจึงได้พักงานในวันที่เจ็ด เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล เรียกชื่ออาหารนั้นว่ามานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่น ประสมน้ำผึ้ง โมเสสกล่าวว่า “พระเจ้ามีรับสั่งว่า 'จงตวงมานาโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นอาหาร ซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์' ” โมเสสบอกอาโรนว่า “เอาไหลูกหนึ่ง ตวงมานาให้เต็มโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าชั่วชาติพันธุ์ของท่าน”
อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบพระโอวาท เพื่อรักษาไว้ตามพระดำรัสที่พระเจ้าทรง บัญชาแก่โมเสส ชนชาติอิสราเอลได้กินมานาสี่สิบปีจนเขามาถึง เมืองที่จะอาศัยอยู่ พวกเขากินมานาจนมาถึงชายแดนแคว้นคานาอัน (หนึ่งโอเมอร์เท่ากับหนึ่งในสิบของเอฟาห์)
ยอห์น 8:12 “อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”
พระเยซูทรงเป็น "ความสว่างของโลก" ความสว่างเดียวกับที่พระเจ้าทรงสัญญา แก่คนของพระองค์ในพันธสัญญาเดิม
ยอห์น 6:35 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย’”
อพยพ 16:11-36 “พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ‘เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่เขาว่า 'ในเวลาโพล้เพล้ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้า เจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระเจ้าของพวกเจ้า' ครั้นถึงเวลาเย็นฝูง นกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างตกรอบค่ายที่พัก เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆ เท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า “นี่อะไรหนอ” เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า “นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวก ท่านรับประทาน นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ว่า 'ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน' ชนชาติอิสราเอลก็กระทำตาม บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี โมเสสจึงสั่งว่า “อย่าให้ผู้ใดเก็บเหลือไว้จนรุ่งเช้า’ แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสส บางคนเก็บส่วนหนึ่งไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอน และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น เขาเก็บกันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับ ประทานพอดี แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป อยู่มาเมื่อถึงวันที่หก เขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสองโอเมอร์ บรรดาหัวหน้าของชุมนุมชนจึงมารายงานต่อโมเสส โมเสสบอกเขาว่า “พระเจ้าทรงพระบัญชาว่า 'พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงาน เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจงเก็บไว้จนถึง วันรุ่งขึ้น' เมื่อเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ตามโมเสสสั่ง อาหารนั้นก็มิได้บูดเหม็นเป็นหนอนเลย โมเสสจึงบอกว่า “วันนี้จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตของพระเจ้า วันนี้ท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย จงเก็บหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีเลย’ อยู่มาเมื่อวันที่เจ็ด มีบางคนออกไปเก็บ แต่ไม่ได้พบ พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร ดูซิ พระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตให้เจ้าคือในวันที่หก พระองค์จึงประทานอาหารให้พอรับ ประทานสองวัน ให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักในวันที่เจ็ด นั้นเลย’ เหตุฉะนั้นประชาชนทั้งปวงจึงได้พักงานในวันที่เจ็ด เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล เรียกชื่ออาหารนั้นว่ามานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสม น้ำผึ้ง โมเสสกล่าวว่า “พระเจ้ามีรับสั่งว่า 'จงตวงมานาโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นอาหาร ซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์' โมเสสบอกอาโรนว่า ‘เอาไหลูกหนึ่ง ตวงมานาให้เต็มโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าชั่วชาติพันธุ์ของท่าน’ อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบ พระโอวาท เพื่อรักษาไว้ตามพระดำรัสที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส ชนชาติอิสราเอลได้กินมานาสี่สิบปีจนเขามาถึง เมืองที่จะอาศัยอยู่ พวกเขากินมานาจ นมาถึงชายแดนแคว้นคานาอัน (หนึ่งโอเมอร์เท่ากับหนึ่งในสิบของเอฟาห์)
ยอห์น 8:12 “อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”
ซึ่งจะได้พบกับจุดสูงสุดในกรุงเยรูซาเล็มใหม่เมื่อพระคริสต์พระเมษโปดกจะเป็นความสว่างนั้น
วิวรณ์ 21:23 “นครนั้นไม่ต้องการแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นแสงสว่างของนครนั้น และพระเมษโปดกทรงเป็น ดวงประทีปของนครนั้น”
คำประกาศสองครั้งที่ว่า "เราเป็น" อ้างถึงพระเยซูว่าทรงเป็นทั้ง "ผู้เลี้ยงที่ดี" และ "ประตูแกะ" นี่คือการอ้างอิงที่ชัดเจนว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญาเดิม พระผู้เลี้ยงของอิสราเอล
เพลงสดุดี 23:1 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
เพลงสดุดี 80:1 “ข้าแต่พระผู้ทรงเลี้ยงดูอิสราเอลอย่างเลี้ยงแกะ คือพระองค์ผู้ทรงนำโยเซฟอย่างนำฝูงแพะแกะ ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับ พระผู้ประทับเหนือเครูบ ขอทรงทอแสงออกมา”
เยเรมีย์ 31:10 “บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า และจงประกาศพระวจนะนั้น ในแผ่นดินชายทะเลที่ห่างออกไป จงกล่าวว่า 'ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยง แกะดูแลฝูงแกะของเขา'”
เอเสเคียล 34:23 “และเราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะผู้หนึ่งไว้เหนือเขา คือดาวิดผู้รับใช้ของเรา และท่านจะเลี้ยงเขาทั้งหลาย ท่านจะเลี้ยงเขาและเป็นผู้เลี้ยงของเขา”
พระเยซูทรงเป็นประตูเดียวที่เข้าไปในคอกแกะ ทางเดียวแห่งความรอด ชาวยิวเชื่อมั่นในการฟื้นคืนพระชนม์ และแท้จริง พวกยิวใช้หลักคำสอนในการ พยายามที่จะวางอุบายหลอกล่อพระเยซูเพื่อพวกเขาสามารถใช้ต่อต้านพระองค์ แต่คำตรัสของพระองค์ที่หลุมฝังศพของลาซารัส "เราเป็นขึ้นจากความตายและเป็นชีวิต" คงต้องทำให้พวกเขาประหลาดใจ
ยอห์น 11:25 “พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก”
พระองค์ทรงยืนยันว่าทรงเป็นสาเหตุของการฟื้นคืนพระชนม์ และผู้ทรงมีอำนาจเหนือ ชีวิตและความตาย ไม่มีใครอื่นนอกจากพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถยืนยันสิ่งนั้นได้ ในทำนองเดียวกัน การทรงยืนยันว่าทรงเป็น "ทางนั้น ความจริงและชีวิต" (ยอห์น 14: 6) ได้เชื่อมโยงพระองค์อย่างไม่ผิดพลาดกับพันธสัญญาเดิม พระองค์คือ "ทางแห่งความบริสุทธิ์" ตามที่พยากรณ์ในพระธรรมอิสยาห์
อิสยาห์ 35:8 “และจะมีทางหลวงที่นั่น และเขาจะเรียกทางนั้นว่า วิสุทธิมรรค คนไม่สะอาดจะไม่เดินทางนั้น แม้คนโง่ก็จะไม่หลงในนั้น”
พระองค์ทรงสถาปนาเมืองแห่งความจริง
เศคาริยาห์ 8:3 “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกลับไปยังศิโยน และอยู่ท่ามกลางเยรูซาเล็ม และเขาจะเรียกเยรูซาเล็มว่าเมืองซื่อตรง และเรียกภูเขาของพระเจ้าจอมโยธาว่า
ภูเขาบริสุทธิ์ เมื่อพระองค์ผู้ซึ่งเป็น "ความจริง" เอง ประทับอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และความจริง ของพระกิตติคุณที่ถูกเทศนาโดยพระองค์และอัครสาวกของพระองค์ และเป็น "ชีวิต" พระองค์ทรงยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระผู้สร้างชีวิต พระเจ้าผู้จุติลงมาบังเกิด
ยอห์น 1:1-3 “ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ
ยอห์น 15:1, 5 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
ในที่สุด ตามที่ทรงเป็น "เถาองุ่นแท้" พระเยซูทรงสำแดงพระองค์เองแก่ชนชาติอิสราเอล ผู้ที่ถูกเรียกว่าไร่องุ่นของพระเจ้าหลายตอนในพันธสัญญาใหม่ ในฐานะที่ทรงเป็นเถาองุ่นแท้แห่งสวนองุ่นของอิสราเอล ทรงสำแดงพระองค์เองเป็นพระเจ้าของ "อิสราเอลแท้" –บรรดาผู้ที่จะมาหาพระองค์โดย ความเชื่อ เพราะ " ไม่ใช่ทุกคนที่สืบสายมาจากอิสราเอล จะเป็นชนชาติอิสราเอล"
โรม 9:6 “แต่มิใช่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะว่าเขาทั้งหลายที่เกิด มาจากอิสราเอลนั้น หาได้เป็นคนอิสราเอลแท้ทุกคนไม่”
การประยุกต์ใช้ปฏิบัติ: ยอห์นยังคงทำให้จุดประสงค์ของพระกิตติคุณสำเร็จ โดยใส่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากสำหรับการประกาศ (ยอห์น 3:16 อาจจะเป็นข้อพระคัมภีร์ที่รู้จักกันดีที่สุด แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่เข้าใจอย่างถูกต้อง) และมักจะถูกนำมาใช้ในการศึกษาพระคัมภีร์เพื่อการประกาศบ่อยๆ
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
ตามที่พระคัมภีร์บันทึกการเผชิญหน้ากันระหว่างพระเยซูและนิโคเดมัสและผู้หญิงที่บ่อน้ำ (บทที่ 3-4) เราสามารถเรียนรู้มากมายจากแบบอย่างของพระเยซูในเรื่องการ ประกาศส่วนตัวพระคำปลอบโยนของพระองค์ที่มีต่อสาวกของพระองค์ก่อนที่ทรง สิ้นพระชนม์ (14: 1-6,16, 16:33) ยังคงเป็นคำปลอบโยนที่ยอดเยี่ยมแก่เร าเมื่อผู้ที่เรารักในพระคริสต์ตายจากไป เพราะว่าเป็น "คำอธิษฐานแบบปุโรหิต"ของพระองค์ สำหรับบรรดาผู้เชื่อในบทที่ 17 คำสอนของยอห์นที่เกี่ยวกับสภาพพระเจ้าของพระคริสต์ (อื่น ๆ ) เป็นประโยชน์มากในการโต้ตอบคำสอนเท็จของลัทธิบางอย่างที่ลดฐานะพระเยซูเป็นรองจากพระเจ้าที่เต็มบริบูรณ์
ยอห์น 1:14 “พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”
ยอห์น 5:22-23 “เพราะว่า พระบิดามิได้ทรงพิพากษาผู้ใด แต่พระองค์ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร เพื่อคนทั้งปวงจะ ได้ถวายเกียรติแด่พระบุตร เหมือนที่เขาถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ใดไม่ถวายเกียรติแด่พระบุตร ผู้นั้นก็ไม่ถวายเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงใช้พระบุตรมา
ยอห์น 8:58 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราดำรงอยู่ ก่อนอับราฮัมเกิด”
ยอห์น 14:8-9 “ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว”
พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และ ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า 'ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น'”
ยอห์น 20:28 “โธมัสทูลพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์’”
English
การสำรวจพระคัมภีร์
กลับสู่หน้าภาษาไทย
พระธรรมยอห์น